พระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิเป็นตัวละครในเรื่องกาลิงคชาดก เตรสกนิบาต ในนิบาตชาดก
พระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติอยู่ ณ ทันตปูรนคร*ในแคว้นกาลิงคราษฐ์* มีโอรส 2 พระองค์ องค์ใหญ่ทรงนามว่ามหากาลิงคะ* องค์เล็กทรงนามว่าจุลลกาลิงคะ* พราหมณ์ปุโรหิตทำนายว่ามหากาลิงคะจะได้เป็นกษัตริย์ ส่วนจุลลกาลิงคะจะออกบวชเป็นดาบส แต่จะมีโอรสเป็นบรมจักรพรรดิราช ต่อมาพระโอรสองค์ใหญ่เสด็จขึ้นครองราชย์ ส่วนองค์เล็กได้เป็นอุปราช
เมื่อพราหมณ์ผู้รู้นิมิตทั้งหลายทำนายว่าโอรสจะได้เป็นบรมจักรพรรดิราช พระอุปราชก็เกิดความอหังการ มิได้เกรงพระราชา พระราชาจึงมีรับสั่งให้อำมาตย์ไปจับตัวพระอนุชา แต่อำมาตย์กลับไปทูลพระอุปราชให้หนีไป พระอุปราชจึงนำของ 3 สิ่ง คือ แหวน ผ้ากัมพล พระขรรค์ ให้อำมาตย์ดูแล้วตรัสว่าถ้าผู้ใดมีของ 3 สิ่งนี้ ให้อัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์เพราะผู้นั้นคือโอรสของพระองค์ จากนั้นพระอุปราชก็เสด็จไปบวชเป็นดาบสในป่า พำนักในอาศรมใกล้ฝั่งน้ำแห่งหนึ่ง
ในครั้งนั้นอัครมเหสีของพระเจ้ามัททราช*แห่งสาคลนคร*ในแคว้นมัททราษฐ์*ทรงครรภ์ ประสูติพระธิดาองค์หนึ่ง พราหมณ์ผู้รู้นิมิตทั้งหลายทำนายว่าพระธิดาจะเที่ยวภิกขาจารเลี้ยงชีพ แต่จะมีโอรสเป็นบรมจักรพรรดิราช เมื่อพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีปได้ข่าวก็พากันมาเมืองสาคลนครพร้อมกัน เพราะประสงค์จะได้พระธิดาไปเป็นอัครมเหสี พระเจ้ามัททราชทรงเกรงว่าถ้ายกพระธิดาให้พระราชาองค์ใด พระราชาองค์อื่นๆ จะกริ้ว จึงพาอัครมเหสีและพระธิดาปลอมองค์เสด็จเข้าป่า ผนวชเป็นดาบสอยู่ในอาศรมใกล้กับอาศรมของจุลลกาลิงคดาบส
ต่อมาพระธิดาได้พบกับจุลลกาลิงคดาบส ต่างเกิดความปฏิพัทธ์กัน จึงได้อยู่ร่วมอภิรมย์กันจนพระธิดาทรงครรภ์ประสูติโอรสผู้มีลักษณะอันอุดม พระบิดามารดาให้นามว่ากาลิงคกุมาร เมื่อเจริญวัยกาลิงคกุมารก็ได้ไปศึกษาศิลปศาสตร์จนสำเร็จ
วันหนึ่งพระบิดาของกาลิงคกุมารรู้ว่าพระเจ้ามหากาลิงคพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ จึงตรัสกับโอรสว่าให้ไปเมืองทันตปูรนครเพื่อสืบราชสมบัติ แล้วมอบแหวน ผ้ากัมพล และพระขรรค์ กำชับให้ไปหาอำมาตย์แสดงของทั้ง 3 สิ่ง อำมาตย์จะให้ขึ้นครองราชย์ เมื่อกาลิงคกุมารเสด็จไปถึงเมืองทันตปูรนครก็ทำตามคำสั่งของพระบิดา อำมาตย์และอำมาตย์ราชบริษัททั้งหลายก็อภิเษกกาลิงคกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงนามว่าพระเจ้ากาลิงคราช ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปุโรหิตชื่อภารทวาชะ*ปุโรหิตทูลให้พระเจ้ากาลิงคราชทรงบำเพ็ญจักรวรรดิวัตรให้บริบูรณ์ ทำให้ทรงเป็นบรมจักรพรรดิ
ต่อมาพระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิทรงช้างเผือกพระที่นั่งเหาะไปหาพระชนกชนนีในป่า เมื่อไปถึงมณฑลต้นศรีมหาโพธิที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ช้างก็ไม่สามารถเหาะผ่านมณฑลนั้นได้แต่นิ่งอยู่ พระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิจึงทรงใช้ขอสับเตือน แต่ช้างก็ไม่สามารถไปได้ ปุโรหิตภารทวาชะซึ่งตามเสด็จเห็นดังนั้นก็สงสัยว่าไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ในอากาศ เหตุใดช้างจึงไม่สามารถไปได้ จึงลงจากอากาศไปสำรวจดูก็เห็นโพธิมณฑลอันเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็เข้าใจว่าชนทั้งหลายแม้แต่ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ก็ไม่สามารถเหาะเหนือโพธิมณฑล จึงไปทูลพระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิ แต่พระองค์มีพระประสงค์จะพิสูจน์ถ้อยคำของปุโรหิตภารทวาชะว่าจริงหรือเท็จ จึงทรงใช้ขอสับช้างสับซ้ำ จนช้างได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานถึงกับสิ้นชีวิต พระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิไม่รู้ว่าช้างตายแล้ว ยังคงประทับอยู่เช่นนั้น ปุโรหิตภารทวาชะต้องทูลเชิญให้ก้าวพระบาทไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกใหม่ซึ่งน้อมหลังเข้ามาใกล้พระองค์ ส่วนช้างที่ตายก็ตกลงสู่พื้นดิน พระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิเสด็จลงจากอากาศ ทอดพระเนตรโพธิมณฑลแล้วทรงสรรเสริญปุโรหิตภารทวาชะว่าเป็นสัมพุทธผู้รู้ผู้เห็นเหตุทั้งปวง แต่ปุโรหิตไม่ยอมรับคำที่ทรงสรรเสริญ ทูลว่าตนเป็นผู้รู้เหตุทั้งปวงเพราะอาคม แต่พระพุทธองค์ตรัสรู้เหตุทั้งปวงด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิได้ทรงสดับก็มีพระทัยปีติโสมนัส โปรดให้มหาชนนำดอกไม้และของหอมทั้งหลายมาสักการบูชามหาโพธิมณฑลเป็นเวลา 7 วัน หลังจากทรงกระทำโพธิบูชาแล้ว ก็เสด็จไปยังอาศรมของพระชนกชนนี รับทั้งสองพระองค์กลับเมืองทันตปูรนคร
พระเจ้ากาลิงคราชบรมจักรพรรดิทรงทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์