กาเหลวไหลเป็นตัวละครในเรื่องโลลชาดก ติกนิบาต ในนิบาตชาดก
ในแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี มีพ่อครัวของเศรษฐีคนหนึ่งเอากระเช้ามาตั้งทำรังใกล้โรงครัวให้เป็นที่อยู่ของนกพิราบเพื่อสร้างบุญกุศล ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกพิราบมาอาศัยอยู่ในกระเช้านั้น
ต่อมามีกาตัวหนึ่งบินมาจับอยู่ชายคาโรงครัว เห็นปลาและเนื้อที่พ่อครัวทำไว้ดูน่ากิน จึงคิดจะอาศัยนกพิราบเพื่อให้ได้สมประสงค์ กาบินติดตามนกพิราบโพธิสัตว์เข้าป่าหาอาหาร นกพิราบสงสัยถามกาว่าตนกินพืช กากินเนื้อ เหตุใดกาจึงติดตามตนไปหาอาหาร กาบอกว่าตนชอบนกพิราบที่มีกิริยามารยาทดีจึงขอเป็นสหาย นกพิราบเห็นกาอ่อนน้อมก็รับกาไว้เป็นสหาย กาทำเป็นหาอาหารเหมือนนกพิราบแต่ลับหลังก็จิกหนอนกิน ตกเย็นนกพิราบโพธิสัตว์ก็พากากลับมาโรงครัวด้วย พ่อครัวเห็นนกพิราบพาเพื่อนมาก็ตั้งกระเช้าข้าวลีบให้กา
วันหนึ่งมีคนนำปลาและเนื้อจำนวนมากมาให้เศรษฐี กาเห็นเป็นโอกาสที่จะได้กิน รุ่งเช้าเมื่อนกพิราบชวนไปหาอาหาร กาบอกว่าตนป่วยเป็นโรคอาหารไม่ย่อย นกพิราบรู้ทันว่ากาต้องการกินเนื้อ แต่กาก็ยังคงยืนยันว่าตนไม่สบาย นกพิราบจึงได้แต่เตือนกาไม่ให้ประมาท ครั้นพ่อครัวทำอาหารเสร็จแล้วก็เอาฝาชีครอบไว้ แล้วออกไปยืนที่ประตูโรงครัวเพื่อให้เหงื่อแห้ง ครั้นได้ยินเสียงกริก ๆ ก็หันมาดูเห็นกาจับอยู่เหนือฝาชี จึงวิ่งจับกามาถอนขน เหลือแต่ขนบนหัวให้เป็นหงอน บดพริกขิงเครื่องเทศผสมกับเปรียงทาตัวกา แล้วโยนกาลงกระเช้า กาได้รับความทุกข์ทรมานมาก
ฝ่ายนกพิราบโพธิสัตว์กลับมาโรงครัวเห็นกาอยู่ในสภาพดังกล่าวก็เย้ยว่าเหตุใดนกยางจึงมีหงอน การที่นกยางลอบเข้ามาอยู่ในรังกาจะถูกกาทำร้ายถึงชีวิต ควรรีบหนีไป กาได้ฟังก็สารภาพว่าตนเป็นกาเหลวไหลไม่เชื่อฟังคำเตือนของสหาย นกพิราบโพธิสัตว์จึงสอนว่า มนุษย์เป็นผู้มีบุญมาก กาเป็นสัตว์เดียรัจฉานกาจึงไม่ควรกินอาหารของมนุษย์ แล้วนกพิราบโพธิสัตว์ก็บินออกจากครัวไปอาศัยอยู่ที่อื่น ส่วนกาก็นอนถอนใจใหญ่จนตายอยู่ในกระเช้ากาเหลวไหลเป็นตัวละครในเรื่องโลลชาดก ติกนิบาต ในนิบาตชาดก
ในแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี มีพ่อครัวของเศรษฐีคนหนึ่งเอากระเช้ามาตั้งทำรังใกล้โรงครัวให้เป็นที่อยู่ของนกพิราบเพื่อสร้างบุญกุศล ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกพิราบมาอาศัยอยู่ในกระเช้านั้น
ต่อมามีกาตัวหนึ่งบินมาจับอยู่ชายคาโรงครัว เห็นปลาและเนื้อที่พ่อครัวทำไว้ดูน่ากิน จึงคิดจะอาศัยนกพิราบเพื่อให้ได้สมประสงค์ กาบินติดตามนกพิราบโพธิสัตว์เข้าป่าหาอาหาร นกพิราบสงสัยถามกาว่าตนกินพืช กากินเนื้อ เหตุใดกาจึงติดตามตนไปหาอาหาร กาบอกว่าตนชอบนกพิราบที่มีกิริยามารยาทดีจึงขอเป็นสหาย นกพิราบเห็นกาอ่อนน้อมก็รับกาไว้เป็นสหาย กาทำเป็นหาอาหารเหมือนนกพิราบแต่ลับหลังก็จิกหนอนกิน ตกเย็นนกพิราบโพธิสัตว์ก็พากากลับมาโรงครัวด้วย พ่อครัวเห็นนกพิราบพาเพื่อนมาก็ตั้งกระเช้าข้าวลีบให้กา
วันหนึ่งมีคนนำปลาและเนื้อจำนวนมากมาให้เศรษฐี กาเห็นเป็นโอกาสที่จะได้กิน รุ่งเช้าเมื่อนกพิราบชวนไปหาอาหาร กาบอกว่าตนป่วยเป็นโรคอาหารไม่ย่อย นกพิราบรู้ทันว่ากาต้องการกินเนื้อ แต่กาก็ยังคงยืนยันว่าตนไม่สบาย นกพิราบจึงได้แต่เตือนกาไม่ให้ประมาท ครั้นพ่อครัวทำอาหารเสร็จแล้วก็เอาฝาชีครอบไว้ แล้วออกไปยืนที่ประตูโรงครัวเพื่อให้เหงื่อแห้ง ครั้นได้ยินเสียงกริก ๆ ก็หันมาดูเห็นกาจับอยู่เหนือฝาชี จึงวิ่งจับกามาถอนขน เหลือแต่ขนบนหัวให้เป็นหงอน บดพริกขิงเครื่องเทศผสมกับเปรียงทาตัวกา แล้วโยนกาลงกระเช้า กาได้รับความทุกข์ทรมานมาก
ฝ่ายนกพิราบโพธิสัตว์กลับมาโรงครัวเห็นกาอยู่ในสภาพดังกล่าวก็เย้ยว่าเหตุใดนกยางจึงมีหงอน การที่นกยางลอบเข้ามาอยู่ในรังกาจะถูกกาทำร้ายถึงชีวิต ควรรีบหนีไป กาได้ฟังก็สารภาพว่าตนเป็นกาเหลวไหลไม่เชื่อฟังคำเตือนของสหาย นกพิราบโพธิสัตว์จึงสอนว่า มนุษย์เป็นผู้มีบุญมาก กาเป็นสัตว์เดียรัจฉานกาจึงไม่ควรกินอาหารของมนุษย์ แล้วนกพิราบโพธิสัตว์ก็บินออกจากครัวไปอาศัยอยู่ที่อื่น ส่วนกาก็นอนถอนใจใหญ่จนตายอยู่ในกระเช้า