กุณาลเป็นตัวละครในเรื่องกุณาลชาดก อสีตินิบาต ในนิบาตชาดก เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพญานกดุเหว่า มีสหายเป็นนกดุเหว่าขาวชื่อปุณณมุข*
พญากุณาลมีบริวารเป็นนางนกดุเหว่าหลายพันตัวซึ่งคอยดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี แต่พญากุณาลก็มักจะตำหนิและด่าว่าพวกนางอยู่เสมอ วันหนึ่งพญาปุณณมุขไปหาพญากุณาล ได้รู้จากบริวารของพญากุณาลว่าพญากุณาลมีนิสัยหยาบช้า วาจาหยาบคาย จึงเข้าไปตักเตือนพญากุณาลที่ปฏิบัติไม่ดีกับเหล่าบริวาร แต่กลับถูกด่าและประชดประชัน พญาปุณณมุขจึงกลับไปยังที่อยู่ของตน
ต่อมาพญาปุณณมุขป่วยหนักใกล้ตาย เหล่านางบริวารพากันทิ้งพญาปุณณมุขไปหาพญากุณาล พญากุณาลด่าว่าพวกนาง แล้วไปช่วยพยาบาลจนพญาปุณณมุขหายป่วย นางนกดุเหว่าบริวารของพญาปุณณมุขรู้ข่าวก็พากันกลับไปหา พญาปุณณมุขไม่ปรารถนาจะอยู่กับพวกนางอีก พญากุณาลจึงพาพญาปุณณมุขไปที่พื้นมโนศิลาข้างเขาหิมพานต์เพื่อจะแสดงธรรม เหล่านาค ยักษ์ รากษส ครุฑ วิชาธร (วิทยาธร) แร้ง เทวดา และดาบสที่รู้ข่าว ต่างพากันมาชุมนุมเพื่อรอฟังธรรม
พญากุณาลเล่าอดีตชาติของตนเกี่ยวกับโทษแห่งสตรีไว้ 8 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นอัชชุน*โอรสพระเจ้าบัณฑุราช* ได้เดินทางไปเรียนวิชาที่เมืองตักสิลาพร้อมอนุชา 4 องค์ คือนกุล* ภีมเสน* ยุธิฏฐิล* และสหเทพ* วันหนึ่งได้ข่าวการเลือกคู่ครองของนางกัณหา*ธิดาบุญธรรมของพระเจ้าพรหมทัตจึงพากันเข้าเมืองไป นางกัณหาพอใจเจ้าชายทั้งห้า จึงโยนพวงมาลัยเลือกเป็นคู่ครอง พระเจ้าพรหมทัตไม่พอพระทัย แต่ไม่อาจทัดทานเพราะได้ประทานพรไว้ว่าจะขอสิ่งใดก็ได้ นางกัณหาปรนนิบัติสวามีทั้งห้าอย่างดี แต่เมื่อสวามีไม่อยู่ นางก็ลอบไปเป็นชู้กับบุรุษรับใช้ที่เปลี้ยค่อม วันหนึ่งนางกัณหาป่วย สวามีทั้งห้าไปนวดฟั้นให้ ส่วนบุรุษเปลี้ยค่อมนั่งอยู่ที่ปลายบาท นางกัณหาทำสัญญาณบอกแต่ละคนว่านางรักคนคนนั้นมากที่สุด พระอัชชุนสงสัยจึงเรียกอนุชาทั้งสี่กับบุรุษรับใช้ไปสอบถามจนรู้ความจริง พระอัชชุนและอนุชารังเกียจนางกัณหามาก จึงชวนกันไปบวชที่ป่าหิมพานต์
เรื่องที่ 2 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นนักเลงสุรา วันหนึ่งไปร่วมวงเสพสุรากับพวกช่างทอง ช่างทองคนหนึ่งทำกระติกเหล้าตกแล้วเปล่งวาจานมัสการนางปัญจปตาวี*ซึ่งถือพรตอยู่ในป่าช้า นักเลงสุราตำหนิว่าไม่ควรเคารพหญิงที่มีจิตกลับกลอก แล้วท้าพนันกับพวกช่างทองว่าจะพานางมาถือกระติกรินเหล้าให้ รุ่งขึ้นนักเลงสุราปลอมเป็นดาบสไปนั่งบำเพ็ญพรตใกล้ที่อยู่ของนางปัญจปตาวี นางผ่านมาพบ เข้าใจว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ก็ทำความเคารพ แต่ดาบสปลอมกลับนิ่งเฉย นางปัญจปตาวีแวะไปทำความเคารพดาบสทุกวัน แต่ละวันดาบสก็จะพูดกับนางมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันที่ 6 ดาบสปลอมและนางปัญจปตาวีต่างสอบถามกันถึงผลของการบำเพ็ญพรต เมื่อรู้ว่าต่างไม่บรรลุผล ดาบสปลอมจึงชวนนางปัญจปตาวีให้เลิกถือพรต ไปอยู่กินกันฉันสามีภรรยา แล้วนักเลงสุราก็พานางถือกระติกเหล้าไปยังวงเสพสุรา พวกช่างทองจึงต้องเสียพนัน ต่อมานางปัญจปตาวีกับนักเลงสุรามีบุตรธิดาด้วยกันหลายคน
เรื่องที่ 3 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นพญาครุฑเวนไตยมีภรรยาชื่อนางกากวันตี* ขณะนางอยู่กลางสมุทรได้ลอบเป็นชู้กับนาฏกุเวรผู้เชี่ยวชาญการขับร้องฟ้อนรำ
เรื่องที่ 4 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นฉฬังคกุมาร* พระเจ้าพรหมทัตส่งฉฬังคกุมารไปเป็นพระอาจารย์ของเอฬกกุมาร*พระชามาดา (บุตรเขย) ที่เมืองของพระเจ้าโกศลราช* เอฬกกุมารตั้งฉฬังคกุมารเป็นเสนาบดี ต่อมานางกุรุงคเทวี*มเหสีของเอฬกกุมารลอบเป็นชู้กับฉฬังคกุมารและเป็นชู้กับธนันเตวาสี*คนรับใช้ของฉฬังคกุมารด้วย
เรื่องที่ 5 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อปัญจาลจัณฑะ 1*ได้พบมเหสีของพระเจ้าโกศลราชซึ่งจะเดินทางไปเยี่ยมโอรสที่เมืองพาราณสี นางมีจิตปฏิพัทธ์ต่อปัญจาลจัณฑะ ทั้งสองจึงลอบเป็นชู้กัน ครั้นผ่านไปได้ 2-3 วัน นางเดินทางไปเยี่ยมโอรส และเมื่อจะเดินทางกลับเมืองโกศล นางได้แวะไปอยู่กับปัญจาลจัณฑะก่อน นับแต่นั้นมานางก็ทูลลาพระเจ้าโกศลราชไปเยี่ยมโอรสอยู่เสมอ
เรื่องที่ 6 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นปุโรหิตชื่อปัญจาลจัณฑะ 2*ได้ตามเสด็จพระเจ้ากินนร*เจ้าเมืองพาราณสีไปประทักษิณรอบพระนคร พระเจ้ากินนรเห็นบุรุษเปลี้ยซึ่งอาศัยอยู่ข้างกำแพงวัง ก็ตรัสปรามาสว่าคงจะไม่มีหญิงใดคบหาด้วย บุรุษเปลี้ยเกิดมานะประนมมือไหว้ต้นหว้า แล้วกล่าวว่าคนอื่นๆ นอกจากพระองค์แล้วก็ไม่มีใครรู้ ปุโรหิตคิดว่านางกินรี*มเหสีของพระเจ้ากินนรคงลอบเป็นชู้กับบุรุษเปลี้ย จึงทูลถามว่าในเวลากลางคืนกายของนางกินรีเป็นเช่นไร พระเจ้ากินนรตอบว่าเฉพาะเวลาเที่ยงคืนกายนางจะเย็น ปุโรหิตจึงทูลว่านางกินรีลอบเป็นชู้กับบุรุษเปลี้ย พระเจ้ากินนรสะกดรอยตามนางไปในเวลากลางคืนจนได้รู้ความจริง ก็สั่งให้จับนางไปประหารชีวิต แต่ปัญจาลจัณฑะพานางกินรีไปซ่อนไว้ แล้วทูลพระเจ้ากินนรว่าหญิงทั้งปวงย่อมเหมือนกันกับนางกินรีโดยพิสูจน์ด้วยการเชิญพระเจ้ากินนรไปประพาสชนบท
ระหว่างทางพบกุฎุมพีคนหนึ่งจะแต่งงานให้บุตรชาย มีนางกุมารีซึ่งเป็นสะใภ้นั่งอยู่ในยาน และมีบริวารแวดล้อมจำนวนมาก ปัญจาลจัณฑะทูลอาสาพานางมาร่วมสมกับพระเจ้ากินนร แล้วไปแสร้งร้องไห้อยู่ข้างทาง เมื่อกุฎุมพีสอบถาม ปัญจาลจัณฑะบอกว่าภรรยากำลังเจ็บท้องใกล้คลอด ต้องการให้นางกุมารีที่นั่งอยู่ในยานเป็นผู้เข้าไปช่วย นางกุมารีเข้าไปพบพระเจ้ากินนรก็ได้ร่วมสมกัน ครั้นนางกลับออกไป ปัญจาลจัณฑะรู้ว่าพระเจ้ากินนรประทานธำมรงค์ให้นาง ก็ไปตามทวงคืน แล้วปัญจาลจัณฑะก็แสดงให้พระเจ้ากินนรเห็นอีกว่าหญิงทั้งปวงต่างประพฤตินอกใจสามี พระเจ้ากินนรเห็นจริงจึงกลับเมืองพาราณสี ปัญจาลจัณฑะทูลขออภัยโทษให้นางกินรีเพราะนางประพฤติตนตามปกติวิสัยของสตรี พระเจ้ากินนรอภัยโทษให้ แล้วขับนางออกจากวัง ตั้งหญิงอื่นเป็นมเหสีแทน และให้ไล่บุรุษเปลี้ยไปให้พ้นจากกำแพงวัง
เรื่องที่ 7 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นพระเจ้าพกะ*เจ้าเมืองพาราณสีได้ปลอมองค์ไปตรวจพระนคร พบนางปัญจปาปี*หญิงที่มีรูปกายวิกลแต่มีสัมผัสที่วิเศษ เมื่อนางคว้าพระหัตถ์ พระเจ้าพกะก็เกิดกำหนัดและได้นางเป็นชายา ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าพกะก็ปลอมองค์ออกไปหานางปัญจปาปีเสมอ วันหนึ่งบิดาของนางปัญจปาปีป่วยหนัก ต้องใช้ข้าวปายาสปรุงรสด้วยนมสดล้วนกับเนยใสน้ำผึ้งหรือน้ำตาลกรวดเป็นยารักษา แต่เพราะเป็นคนยากจนจึงไม่สามารถหาได้ นางปัญจปาปีไปขอความช่วยเหลือจากสามี พระเจ้าพกะต้องการพานางเข้าวัง แต่เกรงชาวเมืองครหานินทา จึงคิดจะให้ชาวเมืองได้รู้สัมผัสอันเป็นเลิศของนางเสียก่อน รุ่งขึ้นพระเจ้าพกะให้หุงข้าวปายาสห่อด้วยใบไม้ 2 ห่อ ห่อแรกเป็นข้าวปายาสธรรมดา ส่วนห่อที่ 2 มีจุฬามณีซ่อนอยู่ เมื่อไปถึงบ้านของนางปัญจปาปี พระเจ้าพกะกำชับนางว่าให้บิดากินข้าวปายาสห่อแรกก่อน แล้ววันต่อไปจึงให้กินห่อที่ 2
ครั้นกลับถึงวังพระเจ้าพกะสั่งให้พนักงานนำจุฬามณีมาถวาย แต่ค้นจนทั่ววังก็ไม่พบ เมื่อไปค้นนอกพระนคร พบจุฬามณีอยู่ที่บ้านของนางปัญจปาปี พนักงานจึงจับบิดามารดาของนางไปสอบถามจนรู้ว่าได้จุฬามณีมาจากบุตรเขย ครั้นไปสอบถามนางปัญจปาปี นางบอกว่าไม่รู้จักสามีเพราะสามีมาและกลับไปในเวลามืด แต่นางจำสัมผัสของสามีได้ พระเจ้าพกะจึงให้นางปัญจปาปีนั่งอยู่ในม่านที่หน้าพระลาน แล้วเจาะช่องม่านพอมือลอดได้ ให้ชาวเมืองพากันไปให้นางจับมือ บุรุษทั้งหลายตั้งแต่อุปราชไปจนถึงคนสามัญต่างติดใจรสสัมผัส มีอาการปานจะเป็นบ้า พอบุรุษทุกคนสัมผัสมือนางแล้ว นางบอกว่าไม่ใช่สามี เหลือเพียงพระเจ้าพกะเท่านั้น เมื่อพระองค์สัมผัสมือนาง นางจำได้จึงร้องว่าจับโจรได้แล้ว พระเจ้าพกะจึงบอกบุรุษทั้งหลายว่าต้องการนำนางปัญจปาปีเข้าวัง แต่เกรงจะถูกครหาจึงทำอุบายเช่นนี้ บุรุษทุกคนยอมรับว่านางปัญจปาปีคู่ควรกับพระเจ้าพกะ พระเจ้าพกะจึงอภิเษกนางเป็นมเหสี นับแต่นั้นมาพระเจ้าพกะก็ไม่ใส่ใจตัดสินคดีความ และไม่สนใจหญิงอื่น นางสนมทั้งหลายต่างริษยาและหาทางใส่ร้ายนางปัญจปาปี
วันหนึ่งนางปัญจปาปีฝันว่าตนจะได้เป็นมเหสีของกษัตริย์ 2 องค์ พระเจ้าพกะให้ผู้ทำนายฝันมาเฝ้า นางสนมทั้งหลายติดสินบนผู้ทำนายฝันให้บอกว่านางปัญจปาปีจะชักนำข้าศึกมาสู่เมือง พระเจ้าพกะเชื่อ สั่งให้ปล่อยนางลอยเรือไป พระเจ้าพาวรีย์*ซึ่งเล่นเรืออยู่พบนางและรู้เรื่องราวทั้งหมด เมื่อจูงนางขึ้นจากเรือก็เกิดกำหนัดในสัมผัส ตั้งนางเป็นมเหสี พระเจ้าพกะรู้เรื่องส่งสารให้ส่งนางคืน แต่พระเจ้าพาวรีย์ไม่ยอมและเตรียมออกรบ เหล่าอำมาตย์ของทั้งสองฝ่ายปรึกษากันว่าควรให้พระเจ้าพกะกับพระเจ้าพาวรีย์ผลัดกันอยู่กับนางปัญจปาปีฝ่ายละ 7 วัน ครั้นนางปัญจปาปีลงเรือไปหาอีกฝ่ายหนึ่ง นางได้ลอบเป็นชู้กับชาวประมงค่อมซึ่งเป็นคนขับเรือ
เรื่องที่ 8 ครั้งที่พญากุณาลเกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต* นางปิงคิยานี*มเหสีเปิดบัญชรเห็นคนเลี้ยงม้ามงคลก็มีจิตปฏิพัทธ์ เมื่อพระเจ้าพรหมทัตบรรทม นางลงไปทางหน้าต่างแล้วลอบเป็นชู้กับคนเลี้ยงม้า ครั้นกลับขึ้นปราสาท นางประพรมเครื่องหอมแล้วเข้าบรรทม พระเจ้าพรหมทัตสงสัยว่าเหตุใดกายของนางปิงคิยานีจึงเย็นในเวลาเที่ยงคืนเสมอ วันหนึ่งจึงสะกดรอยตามไปจนรู้ความจริง รุ่งขึ้นพระเจ้าพรหมทัตไต่สวนความผิด ปลดนางออกจากตำแหน่ง แล้วตั้งหญิงอื่นเป็นมเหสีแทน
เมื่อพญานกกุณาลแสดงโทษแห่งหญิงแล้ว พญาแร้งชื่ออานนท์*ขอกล่าวโทษของหญิงบ้าง ฤๅษีนารท*กล่าวโทษของหญิงเป็นลำดับต่อมา จากนั้นพญากุณาลก็กล่าวโทษของหญิงให้ละเอียดยิ่งขึ้น ครั้นพญากุณาลเทศนาไปจนถึงอมตมหานิพพานแล้ว บรรดาสัตว์และเทวดาทั้งหลายต่างพากันกล่าวสาธุการแล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน