สราชกุมาร หรือกุสะติณราชกุมาร* หรือสีหัสสรกุสราช*เป็นตัวละครในเรื่องกุสชาดก สัตตตินิบาต ในนิบาตชาดก เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นโอรสพระเจ้าโอกกากราช*เจ้าเมืองกุสาวดี*กับนางสีลวดี* มีอนุชาชื่อชยัมบดีราชกุมาร*
พระเจ้าโอกากราชกับนางสีลวดีไม่มีโอรสธิดา ชาวเมืองเกรงว่าต่อไปพระราชาเมืองอื่นจะมาชิงราชสมบัติ จึงพากันไปร้องขอให้พระราชาปล่อยนางสีลวดีออกไปร่วมสมกับชายอื่นนอกเมืองเป็นเวลา 7 วันเพื่อให้นางทรงครรภ์ ด้วยอำนาจศีลบารมีของนางสีลวดีทำให้ร้อนไปถึงพระอินทร์ พระอินทร์ทูลเชิญพระโพธิสัตว์จุติไปปฏิสนธิเป็นโอรสของนางสีลวดี และขอให้เทพบุตรอีกองค์หนึ่งจุติลงไปเป็นโอรสของนางด้วย
พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์เฒ่าไปยืนอยู่ที่หน้าประตูเมือง เมื่อนางสีลวดีเสด็จออกมา พราหมณ์เฒ่าก็พานางไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้นครบกำหนด 7 วัน พระอินทร์ให้นางขอพร นางขอโอรส 1 องค์ แต่พระอินทร์ประทานให้ 2 องค์ องค์หนึ่งมีปัญญาแต่รูปกายอัปลักษณ์ อีกองค์หนึ่งรูปงามแต่ไม่ฉลาด แล้วพระอินทร์ก็ประทานของ 5 อย่างแก่นาง คือ หญ้าคา ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตร และพิณโกกนท พระอินทร์พานางเหาะไปวางไว้บนแท่นบรรทมเคียงคู่กับพระเจ้าโอกกากราช ครั้นครบกำหนด นางสีลวดีก็ประสูติโอรสให้ชื่อว่า กุสะติณราชกุมาร (กุสะติณะ แปลว่า หญ้าคา) หรือกุสราชกุมาร และต่อมาประสูติโอรสอีกองค์หนึ่งให้ชื่อว่า ชยัมบดีราชกุมาร
กุสราชกุมารมีความสามารถและมีปัญญามาก รู้สรรพวิชาต่างๆ โดยไม่ต้องศึกษาในสำนักใดๆ ครั้นชันษาได้ 16 ปี พระเจ้าโอกกากราชจะยกราชสมบัติให้ จึงปรึกษากับนางสีลวดีจะหาธิดากษัตริย์ต่างเมืองให้เป็นชายา กุสราชกุมารรู้ว่าตนรูปร่างอัปลักษณ์ คงไม่มีหญิงใดจะอยู่ด้วย จึงปฏิเสธที่จะมีคู่ครอง และให้นางกำนัลไปทูลว่าตนไม่ต้องการราชสมบัติ เมื่อพระบิดามารดาสิ้นพระชนม์ ตนก็จะออกบวช
พระเจ้าโอกกากราชกับนางสีลวดีส่งนางกำนัลไปถามอีกหลายครั้ง ครั้นถึงครั้งที่ 4 กุสราชกุมารจึงทำอุบายนำทองคำไปทำเป็นรูปหญิงงามที่เหมือนคนจริงประดับเครื่องแต่งกายต่างๆ แล้วให้คนนำไปถวายนางสีลวดี ฝากทูลว่าหากได้หญิงงามเช่นรูปทองก็จะยอมอภิเษกด้วย นางสีลวดีให้เหล่าอำมาตย์นำรูปทองนั้นไปที่เมืองต่างๆ เพื่อเสาะหาหญิงงาม
เหล่าอำมาตย์นำรูปทองไปตั้งไว้ที่ทางไปท่าน้ำเมืองสาคละ*ในแคว้นมัทราษฎร์* ขณะนั้นนางขุชชา* (แปลว่า หญิงค่อม) พี่เลี้ยงของนางประภาวดี*พานางทาสีไปตักน้ำ ครั้นเห็นรูปทองก็เข้าใจว่าเป็นนางประภาวดี จึงตำหนิที่นางเสด็จมาเองแล้วตบที่แก้มรูปทองนั้น เหล่าอำมาตย์ซึ่งซุ่มดูอยู่จึงรู้ว่าที่เมืองสาคละมีหญิงงามเหมือนรูปทอง ก็เข้าไปสอบถามจนรู้ว่านางประภาวดีธิดาท้าวมัทราช*มีรูปงามยิ่งกว่ารูปทอง
เหล่าอำมาตย์ไปเฝ้าพระเจ้ามัทราช ถวายรูปทองและเครื่องบรรณาการ แล้วทูลขอนางประภาวดีไปอภิเษกกับกุสราชกุมาร พระเจ้ามัทราชยินดี อำมาตย์จึงกลับไปทูลพระเจ้าโอกกากราชกับนางสีลวดี ทั้งสองเสด็จไปเมืองสาคละ นางสีลวดีเกรงว่าหากนางประภาวดีเห็นกุสราชกุมารก็คงจะรังเกียจหนีกลับเมือง จึงออกอุบายว่าประเพณีของเมืองกุสาวดีมีว่าหากสามีภรรยาคู่ใดอยู่ด้วยกันแล้วยังไม่มีโอรส ห้ามสามีภรรยาคู่นั้นพบหน้ากันในเวลากลางวัน นางประภาวดียินดีปฏิบัติตามประเพณี ทั้งหมดจึงออกเดินทางไปเมืองกุสาวดี
พระเจ้าโอกกากราชอภิเษกกุสราชกุมารเป็นกษัตริย์ครองคู่กับนางประภาวดี วันหนึ่งพระเจ้ากุสราชปรารถนาจะพบนางประภาวดีในเวลากลางวันจึงไปอ้อนวอนนางสีลวดี นางออกอุบายให้พระเจ้ากุสราชปลอมเป็นคนเลี้ยงช้าง แล้วเชิญนางประภาวดีไปโรงเลี้ยงช้าง พระเจ้ากุสราชปามูลช้างไปถูกหลังนางเพื่อจะได้เห็นหน้านาง นางประภาวดีกริ้วมาก แต่นางสีลวดีปลอบและช่วยปัดมูลช้างให้ ต่อมาพระเจ้ากุสราชปรารถนาจะพบนางประภาวดีอีกจึงปลอมเป็นคนเลี้ยงม้า นางประภาวดีไปโรงเลี้ยงม้าก็ถูกปาด้วยมูลม้า แต่นางสีลวดีช่วยปลอบเช่นเดิม
รุ่งขึ้นนางประภาวดีปรารถนาจะพบพระเจ้ากุสราชในเวลากลางวันจึงอ้อนวอนขอให้นางสีลวดีช่วย นางสีลวดีให้ทำประทักษิณรอบพระนครเพื่อให้นางประภาวดีลอบดูผ่านช่องบัญชร แล้วสั่งให้ชยัมบดีราชกุมารแต่งองค์ด้วยเครื่องทรงกษัตริย์ประทับบนหลังช้าง ส่วนพระเจ้ากุสราชเป็นควาญอยู่ท้ายช้าง เมื่อพระเจ้ากุสราชเห็นนางประภาวดีก็ทำกิริยาหยอกเย้านางด้วยการโบกหัตถ์ นางประภาวดีสงสัยว่าควาญช้างจะเป็นสวามีของนาง จึงให้นางขุชชาไปแอบดูแล้วบอกว่าผู้ที่ลงจากช้างก่อนเป็นพระเจ้ากุสราช พระเจ้ากุสราชเรียกนางขุชชามากำชับไม่ให้ไปทูลนางประภาวดี
ต่อมาพระเจ้ากุสราชอยากพบนางประภาวดีในเวลากลางวันอีก นางสีลวดีแนะให้ปลอมตัวไปแอบอยู่ในอุทยาน พระเจ้ากุสราชไปซ่อนอยู่ในสระบัว เมื่อนางประภาวดีลงสรงน้ำ พระเจ้ากุสราชก็ฉวยมือนาง แล้วบอกว่าตนเป็นพระเจ้ากุสราช นางประภาวดีคิดว่าเป็นยักษ์ก็ตกใจสิ้นสติไป เมื่อคืนสตินางรู้ความจริงก็รีบเดินทางกลับเมืองสาคละ พระเจ้ากุสราชตามไปถึงเมืองสาคละ แล้วไปดีดพิณขับร้องอยู่ที่โรงช้างเพื่อให้นางประภาวดีรู้ว่าตนเสด็จมา
พระเจ้ากุสราชปลอมตนไปฝากตัวเป็นศิษย์นายกุมภการผู้ปั้นภาชนะถวายพระเจ้ามัทราช แล้วปั้นภาชนะให้นายกุมภการนำไปถวายนางประภาวดี อธิษฐานขอให้นางผู้เดียวเท่านั้นที่มองเห็นลวดลายบนภาชนะนั้น นางประภาวดีเห็นรูปของพระเจ้ากุสราชกับนางขุชชาที่ภาชนะก็โกรธมาก ขว้างภาชนะนั้นทิ้ง ต่อมาพระเจ้ากุสราชไปขอเป็นลูกมือของนายนฬการช่างจักสาน แล้วไปเป็นลูกมือของนายมาลาการช่างร้อยดอกไม้ พระเจ้ามัทราชโปรดของทุกอย่างที่พระเจ้ากุสราชทำถวาย
ต่อมาพระเจ้ากุสราชไปเป็นลูกมือของพนักงานห้องเครื่องต้น ขณะกำลังปิ้งชิ้นเนื้อ พระเจ้ามัทราชได้กลิ่นก็ขอให้พ่อครัวไปนำมาถวาย เมื่อเสวยแล้วก็พอพระทัยมาก จึงให้พระเจ้ากุสราชเป็นผู้ทำเครื่องต้นถวายพระองค์กับธิดาทั้งแปด และให้พระเจ้ากุสราชเป็นผู้นำเครื่องต้นไปถวายเหล่าธิดาด้วยตนเอง เมื่อนางประภาวดีได้พบพระเจ้ากุสราช นางก็ด่าว่าอย่างรุนแรง แล้วให้นางขุชชานำเครื่องต้นนั้นไปกินแทน ส่วนนางกินอาหารของนางขุชชา
วันหนึ่งพระเจ้ากุสราชทำอุบายหาบภาชนะเปล่าไปที่หน้าประตูตำหนักของนางประภาวดี ทำเป็นล้มลงแล้วแสร้งสลบไป นางประภาวดีนึกสังเวชว่าพระเจ้ากุสราชต้องตรากตรำลำบากเพราะนาง จึงออกไปจะตรวจดูลมหายใจ พระเจ้ากุสราชซึ่งอมน้ำลายไว้เต็มปากก็ถ่มน้ำลายใส่นางแล้วบอกว่าเมื่อนางยิ้มและมองพระองค์ จึงจะเลิกเป็นพนักงานครัวต้น นางโกรธแล้วกลับเข้าตำหนักไป
เมื่อนางขุชชาไปที่ห้องเครื่อง พระเจ้ากุสราชขอให้นางช่วยทำให้นางประภาวดีใจอ่อน โดยสัญญาจะให้เครื่องประดับทองคำ นางขุชชากลับไปตำหนักทำอุบายขังนางประภาวดีไว้ในห้อง แล้วเตือนให้นางประภาวดีมองความงามของพระเจ้ากุสราชที่อิสริยยศ ราชทรัพย์ พละกำลัง อาณาจักรที่กว้างใหญ่ ความเป็นมหาราชผู้ประเสริฐ ความเชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ทั้งปวง ฯลฯ
พระอินทร์รู้ว่าพระเจ้ากุสราชต้องทนลำบากและไม่ได้พบนางประภาวดีถึง 7 เดือนจึงเนรมิตบุรุษ 7 คน ให้ทำทีเป็นทูตของพระเจ้ามัทราชไปถวายสารเชิญกษัตริย์ 7 เมืองมาอภิเษกกับนางประภาวดี ครั้นกษัตริย์ทั้งเจ็ดยกทัพมาถึงเมืองสาคละ รู้ว่าพระเจ้ามัทราชประทานนางประภาวดีให้พวกตนทั้งเจ็ด ก็โกรธ ยกทัพเข้าประชิดเมือง เหล่าขุนนางทูลท้าวมัทราชว่าเป็นความผิดของนางประภาวดีที่หนีพระเจ้ากุสราชมา พระเจ้ามัทราชจะบั่นกายนางออกเป็น 7 ส่วนส่งให้กษัตริย์แต่ละเมือง นางประภาวดีรู้เรื่องจึงไปทูลขอให้พระมารดาช่วย แต่ไม่เป็นผล พระมารดาตำหนินางที่ทิ้งพระเจ้ากุสราชมา และบอกว่าหากพระเจ้ากุสราชอยู่ก็จะช่วยออกรบตีทัพกษัตริย์ทั้งเจ็ดจนแตกพ่ายไป นางประภาวดีจึงบอกความจริงว่าพระเจ้ากุสราชปลอมตัวเป็นพนักงานครัวต้นอยู่ในวัง แล้วทั้งสองก็พากันไปทูลพระเจ้ามัทราช พระเจ้ามัทราชให้นางประภาวดีไปขออภัยโทษ พระเจ้ากุสราชต้องการทำลายมานะของนาง จึงเทน้ำย่ำเป็นโคลนให้นางประภาวดีหมอบซบที่บาท นางประภาวดีให้สัญญาว่าจะไม่รังเกียจพระเจ้ากุสราชอีก ส่วนพระเจ้ากุสราชก็ให้คำมั่นเช่นเดียวกัน
พระเจ้ากุสราชให้จัดทัพออกรบแล้วเปล่งสุรสีหนาท กษัตริย์ทั้งเจ็ดและเหล่าทหารได้ยินเสียงก็เกรงขาม บ้างก็แตกตื่นหนีตาย บ้างก็ฆ่าฟันกันเอง พระอินทร์รู้ว่าพระเจ้ากุสราชมีชัยชนะจึงประทานดวงแก้วมณีให้ พระเจ้ากุสราชทูลให้พระเจ้ามัทราชประทานธิดาอีกเจ็ดองค์ซึ่งเป็นขนิษฐาของนางประภาวดีแก่กษัตริย์ทั้งเจ็ด แล้วพระเจ้ากุสราชก็พานางประภาวดีกลับเมืองกุสาวดี ด้วยอำนาจของดวงแก้วมณีทำให้พระเจ้ากุสราชมีรูปโฉมงดงามสมกับนางประภาวดี ทั้งสองครองเมืองกุสาวดีอย่างมีความสุขจนสิ้นชีวิต