กุสุมาหราเป็นตัวละครในบทละครเรื่องดาหลัง เป็นโอรสของปันหยี* (อิเหนา*) เกิดจากนางจินตะหราวาตี*ธิดาระตูปัตหรำ*
นางจินตะหราวาตีบวงสรวงเทพารักษ์จนส่งเหยี่ยวมนตร์*มาล่อปันหยีให้ตามไป นางจินตะหราวาตีจึงได้ปันหยีเป็นสามี ปันหยีอยู่กับนางประมาณครึ่งปี จนนางตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน ปันหยีก็หนีไปเพราะคิดถึงอนุชาคือกุดาวิราหยา* และคิดถึงนางบุษบาก้าโละ* ระเด่นกุสุมาหราจึงเกิดมาโดยไม่รู้จักบิดา ใคร ๆ ก็บอกว่า ระตูปัตหรำคือบิดาของตน จนอายุได้เก้าปีเศษจึงได้รู้ว่าตนเป็นบุตรของปันหยี กุสุมาหราขอไปตามหาบิดาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ระตูปัตหรำจัดทัพให้ขุนนางผู้ใหญ่ไปด้วย เมื่อยกพลออกนอกเมือง กุสุมาหราตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้พบบิดา ระหว่างทางมีเทวดาที่ทำผิด ถูกสาปให้เป็นอสุรกุมภัณฑ์อยู่ในป่าต่อเมื่อถูกเชื้อวงศ์เทวาประหารจึงจะพ้นคำสาป อสุรกุมภัณฑ์คาดว่าพระกุมารเป็นวงศ์เทวาจึงแปลงกายเป็นควายวิ่งไล่ขวิดไพร่พล พวกทหารยิงก็ไม่ตาย พระกุมารแทงด้วยกริช ควายจึงตายแล้วกลายเป็นอสุรกุมภัณฑ์ ได้กลับไปเป็นเทวดาดังเดิม เทวดาคิดถึงบุญคุณของพระกุมาร จึงปรากฏตัวให้เห็นเฉพาะพระกุมาร แล้วบอกว่าปันหยีอยู่ที่ใด พร้อมทั้งช่วยย่นระยะทางไปเมืองหมันหยาปาเอ็ด* จากที่ต้องเดินทางเป็นเวลาเดือนเศษให้เหลือเพียง 3 วัน
กุสุมาหรามาถึงเมืองหมันหยาปาเอ็ดก็ส่งสารเข้าไปถึงปันหยี ปันหยีส่งระเด่นกุดาสมาหรัน*โอรสที่เกิดจากนางหยังหยังส่าหรี*ออกมารับ กุสุมาหราเล่าความทุกข์ร้อนของพระมารดาและของตนให้ปันหยีรับรู้ว่า
แต่องค์พระชนนีนั้นไซร้ ทุกข์ตรอมผอมไผ่เพียงวายชนม์
เพราะพระบิตุเรศจากมา อายแก่ไพร่ฟ้าทุกแห่งหน
จนลูกไม่หาญทานทน กลัวว่าประชาชนจะไยไพ
เสียทีที่เกิดในสุริยวงศ์ จะรู้จักพระบิตุรงค์ก็หาไม่
เมื่อปันยีส่งกองทหารไปรุกรบได้เมืองตระเส* ปันหยีก็ส่งพระอนุชาคือกุดาวิราหยาไปกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินโดยให้พากุสุมาหราไปด้วย เมืองตระเสจัดพิธีเผาศพระตูเจ้าเมือง กุสุมาหราไม่เคยเห็นจึงรอดูอยู่บนหลังม้า ประไหมสุหรีของระตูตระเสเตรียมตัวแบหลา (โจนเข้ากองไฟที่เผาสามี) ตามประเพณี สั่งสอนพระธิดาซึ่งยังเป็นเด็กอยู่ ธิดาคือนางสุหราดรสา*จะขอตายตามไปด้วย เมื่อเห็นประไหมสุหรีโจนเข้ากองไฟ นางจึงเอากริชของบิดามาจะแทงตัว แต่พี่เลี้ยงเข้าห้ามไว้ กุสุมาหราเห็นเหตุการณ์จึงโจนลงจากหลังม้าเข้าไปชิงกริชจากมือนาง ต่อมากุสุมาหราอุ้มนางสุหราดรสาขึ้นหลังม้าพาไปเที่ยวป่า ชมนกชมไม้ เล่นธาร จนนางคลายโศกจึงพากลับมา การกระทำของกุสุมาหราเป็นที่เอ็นดูและขบขันของพวกผู้ใหญ่ กุดาวิราหยาซึ่งเป็นพระเจ้าอาของกุสุมาหรานั้นขบขันเป็นพิเศษเพราะเห็นว่าหลานเจ้าชู้เหมือนพระบิดา จึงกล่าวว่า “ฉิฉะเชื้อแล้วไม่เสียพงศ์ ความเหมือนพระบิตุรงค์เรืองศรี”
ปันหยีฝึกให้กุสุมาหราคุ้นเคยกับการออกศึก ดังนั้นเมื่อไปรบกับระตูมงกล* ปันหยีก็พากุสุมาหราไปในกองทัพด้วย ระหว่างรบกันนั้นช่วงกลางคืนระเด่นมังกันติกาหรา*โอรสระตูมงกลให้คนลอบไปจุดไฟในค่ายปันหยี กุดาวิราหยาและกุสุมาหราออกมาบัญชาการดับไฟ ระตูมงกลเข้าใจว่าปันหยีออกมาดับไฟจึงสั่งเชือกมนตร์*ไปมัด เชือกมนตร์มัดกุดาวิราหยาและกุสุมาหรามาให้ ระตูมงกลผิดหวังมากที่เชือกมนตร์มัดเด็กมาด้วย ปันหยีลอบเข้าไปช่วยทั้งสองคนออกมาได้ รุ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายรบกัน กุสุมาหราก็ออกมาด้วย เมื่อปันหยีรบชนะก็เข้าครอบครองเมืองมงกล* ปันหยีต้องการจะตามหานางบุษบาก้าโละจึงจัดพิธีอุปภิเษกให้ระเด่นกุสุมาหราครองเมืองมงกล และให้นางสุหราดรสาเป็นมเหสี