TLD-003-2255
บุศบง (ชื่อตัวละคร)
บุศบงเป็นตัวละครในบทละครเรื่องวงศเทวราช เป็นธิดาท้าวมหานพสูร*เจ้าเมืองสมุทคีรี*กับนางหิรัญมาลี* มีสวามีคือวงศเทวราช*เจ้าเมืองเนาวรัตนนคร*
เมื่อท้าวมหานพสูรจะจัดให้มีพิธียกศรพรหมสิทธิ์ที่เขาหิรัญบรรพต*ซึ่งอยู่กลางแม่น้ำยมนา* เพื่อหาผู้ที่คู่ควรจะอภิเษกสยุมพรกับธิดา จึงให้ประกาศป่าวร้องบรรดากษัตริย์ร้อยเอ็ดนครให้ส่งโอรสมายกศร ในวันพิธีเมื่อโอรสกษัตริย์ทั้งหลายเห็นนางบุศบงว่างามนักก็ทะเลาะทุ่มเถียงกันด้วยความปรารถนาจะได้นางเป็นคู่ นางบุศบงได้ยินก็โกรธ ทูลขอพระมารดาไปสรงน้ำที่หาดทราย นางหิรัญมาลีสั่งให้มีกองตระเวนเฝ้าไม่ให้ผู้ใดพายเรือมากล้ำกรายยกเว้นเรือแม่ค้าขายของ ฝ่ายวงศเทวราชและสังขปัด*วานรทหารคู่ใจรู้ว่าเมืองสมุทคีรีได้จัดให้มีพิธียกศร แต่ยังไม่มีผู้ใดยกได้ วงศเทวราชจึงแปลงเป็นนางยักษ์สาวชื่อวงศวาด* ส่วนสังขปัดแปลงเป็นนางยักษ์สูงวัยชื่อพุทชาติ* พุทชาติเนรมิตเรือพายไปขายสินค้า นางสนมกำนัลพากันมาซื้อขนม เมื่อนางบุศบงรู้ก็ให้นางแม่ค้าทั้งสองเข้ามาหาและรับเป็นนางกำนัล แล้วพาไปเฝ้าพระบิดา ตอนแรกท้าวมหานพสูรก็เอ็นดูชื่นชมนางกำนัลใหม่ แต่เมื่อโหรเฒ่าทูลว่าทั้งสองเป็นชายแปลงกายมา ท้าวมหานพสูรกริ้วมาก คิดว่าธิดาคบชู้สู่ชาย สั่งให้เสนาอสูรนำนางบุศบงไปถ่วงน้ำ และให้ประหารนางแปลงทั้งสองเสีย กรมเมืองพานางบุศบงซึ่งถูกพันธนาการลงเรือไป นางเศร้าโศกถึงพระมารดาจนสลบ เพชฌฆาตคิดว่านางบุศบงสิ้นชีวิตก็ปลดขื่อคาออก ฝ่ายวงศเทวราชและสังขปัดซึ่งเหาะหนีจากการถูกจับไปประหาร ได้เห็นนางบุศบงนอนนิ่งอยู่ในเรือกลางทะเลก็คิดว่านางตายแล้ว วงศเทวราชสั่งให้สังขปัดไปถามเสนาอสูรถึงสาเหตุการตายของนาง สังขปัดขอศพนางบุศบงบอกว่าจะนำไปให้เจ้านายชุบชีวิต แต่อสูรไม่ยอมให้ วงศเทวราชจึงสั่งให้สังขปัดชิงศพนางมา
เมื่อวงศเทวราชสัมผัสกายก็รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ จึงตักน้ำมาโรยรดจนฟื้นคืนสติ แล้วพานางบุศบงไปไว้ที่เนาวรัตนนคร โดยสั่งให้สังขปัดรอตนกลับมาทำสงครามกับอสูร เมื่อไปถึงเมืองเนาวรัตนนครก็ฝากนางไว้กับนางฟ้าทั้งสี่*ให้คอยเป็นพี่เลี้ยง แล้ววงศเทวราชก็ลานางบุศบงไปปราบท้าวมหานพสูรโดยสัญญาว่าจะไว้ชีวิตพระบิดาของนาง ฝ่ายท้าวมหานพสูรเมื่อเสนาอสูรกลับมาทูลว่าศพนางบุศบงถูกมนุษย์และวานรชิงไปก็กริ้ว คิดทำสงครามกับมนุษย์และวานร แต่หลังจากทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันอย่างยาวนาน ในที่สุดฝ่ายท้าวมหานพสูรก็พ่ายแพ้ สังขปัดจับท้าวมหานพสูรและนางหิรัญมาลีได้ พาไปเฝ้าวงศเทวราช ท้าวมหานพสูรทูลว่าถ้าวงศเทวราชยกศรพรหมสิทธิ์ได้จึงจะยอมอ่อนน้อม วงศเทวราชจึงเสด็จไปยกศรที่ยอดเขาหิรัญบรรพตได้ เมื่อท้าวมหานพสูรรู้ว่านางบุศบงยังมีชีวิตอยู่ จึงอาสาไปรับนางที่เนาวรัตนนครเพื่อมาเข้าพิธีอภิเษกสยุมพรกับวงศเทวราช (บทบาทของนางบุศบงในฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดีมีเพียงเท่านี้ ต่อไปนี้เป็นบทพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
เมื่อท้าวมหานพสูรได้พบกับนางบุษบง* (คือบุศบงในฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดี) ก็ขอโทษธิดาที่ได้พลั้งผิดไป แล้วพานางไปเฝ้าวงศเทวราช ในตอนนี้กวีได้กล่าวชมโฉมนางไว้ว่า งามพักตรผ่องเพียงจันทร์เพ็ญ นาสิกเฟ็ดนิดเห็นไม่ขัดขวาง โอษฐกว้างคางสั้นดูสำอาง สองปรางดังจะย้อยห้อยเปนพวง ผิวพร้อยรอยแผลพระยอดหนา ดังเลขาไว้ให้ชมสมที่หวง ไนยเนตรเหลืองแก่แต่ไม่กลวง งามทรวงดวงประทุมมาลี เคลื่อนคล้อยหน่อยหนึ่งแต่ไม่ยาน ด้วยภูมฐานใหญ่กลมพอสมที่ บั้นพระองค์สมทรงที่พ่วงพี สองเพลาเท่ากัทลีไม่เล็กเลย แต่เมื่อวงศเทวราชจะอยู่ร่วมสมกับนางบุษบงก็ถูกสังขปัดขัดขวาง โดยทูลว่าควรให้ผ่านพ้นพิธีอภิเษกสยุมพรเสียก่อนจะได้ไม่ถูกติฉินนินทา ในวันอภิเษกสยุมพรมีเจ้าต่างเมืองมาร่วมพิธีมากมาย หลังวันงานพิธีมีงานสโมสรสันนิบาตและงานบอลลีลาศ สังขปัดเมาสุราอาละวาดในงานทั้งสองคืน ในคืนที่สองหลังงานบอลสิ้นสุดลงสังขปัดเผาเมืองสมุทคีรีเพื่อจะพากวินไวต์*มเหสีของพระเจ้าโยเสฟ*ที่ตนหลงรักไปอยู่ร่วมด้วย ทุกคนต่างวิ่งหนีไฟกันชุลมุน เหล่ากษัตริย์ต่างก็หนีเพลิงไหม้กลับบ้านเมือง ฝ่ายวงศเทวราชและนางบุษบงซึ่งบรรทมอยู่ด้วยกัน
ครั้นรู้ว่าไฟไหม้ก็พากันวิ่งหนีออกจากวัง นางบุษบงเห็นวงศเทวราชมัวละล้าละลังเกี่ยวกับการขึ้นเกยลงเกยจึงไม่อยู่รอ รีบวิ่งหนีเข้าป่าไปเพียงลำพัง จนถึงเวลาเช้าตรู่นางเห็นแม่ชีเดินมาจึงเข้าไปไต่ถามความเป็นมา แล้วเกิดความศรัทธา ขอฝากตนเป็นศิษย์โดยการบวชเป็นแม่ชีใช้ชื่อว่าเฟื่อง* แม่ชีเฟื่องพักอาศัยอยู่กับหลวงชีสะมะยัง*ในถ้ำที่เขานางประจันต์* หวังจะบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บุญกุศลช่วยดลบันดาลให้ได้พบกับวงศเทวราช ฝ่ายท้าวมหานพสูร ท้าววิเรนทร* และครุฑ*ออกตามหาวงศเทวราชครั้งที่ไฟไหม้เมือง จนได้พบกับวงศเทวราชซึ่งไปอาศัยอยู่กับพระธรรมภาณฤๅษี* ต่อมาวงศเทวราชคิดจะตามหานางบุษบง จึงปลอมตัวเป็นตลกชาวป่าใช้ชื่อว่าคงญวน* และให้บริวารทุกคนปลอมตัวเป็นชาวป่าพร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อใหม่ด้วย แล้วต่างก็ออกตามหานางบุษบง ท้าววิเรนทรซึ่งใช้ชื่อใหม่ว่าขำโกร่ง*เดินป่าไปจนพบหลวงชีสะมะยัง
ครั้นได้สนทนากันก็รู้ว่าแม่ชีเฟื่องที่อยู่กับหลวงชีสะมะยังน่าจะเป็นนางบุษบง เมื่อวงศเทวราชรู้ก็ให้ขำโกร่งหาทางพาแม่ชีเฟื่องมาให้ตน ขำโกร่งขอให้หลวงชีสะมะยังช่วยให้ได้พบกับแม่ชีเฟื่อง แต่หลวงชีบอกว่าแม่ชีเฟื่องขี้อายไม่ยอมพบหน้าผู้ใดแต่ตนจะช่วย หลวงชีจึงหลอกแม่ชีเฟื่องให้ออกจากถ้ำมาดายหญ้าริมธาร ทำให้ขำโกร่งซึ่งแอบอยู่ใต้ศาลาได้เห็นแม่ชีเฟื่องอย่างเต็มตา แม่ชีเฟื่องดายหญ้าแล้วพักนอนหลับอยู่ใต้ร่มไม้ ตื่นขึ้นตอนค่ำก็รีบกลับถ้ำ คร่ำครวญถึงวงศเทวราชว่าคงถูกเพลิงคลอกสิ้นชีวิตแล้ว แม้ตนจะมาบวชชีเพื่อให้คลายทุกข์แต่ก็ไม่บรรเทา จึงคิดจะลาสิกขาหาสวามีใหม่ให้ชีวิตมีความสุข
ฝ่ายขำโกร่งพาหลวงชีสะมะยังไปหาคงญวน คงญวนบอกว่าตนยังไม่มีคู่ครองขอให้หลวงชีช่วยให้ได้แม่ชีเฟื่องเป็นภรรยา หลวงชีจึงออกอุบายให้คงญวนแต่งกายเป็นเทวดาไปหลอกแม่ชีเฟื่องว่าพระอินทร์*ให้มาพานางขึ้นไปเป็นมเหสีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนตนก็จะช่วยสนับสนุนให้แม่ชีเฟื่องเชื่อและยอมออกจากถ้ำไปพบกับเทวดา ครั้นแม่ชีเฟื่องรู้ว่าตนจะไปสวรรค์ก็อาลัยอาจารย์ จึงขอให้เทวดาพาหลวงชีสะมะยังขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย แต่เทวดาบอกว่าอีก 7 ปีสามีของหลวงชีสะมะยังจะมารับนาง แล้วเทวดาก็ตรงเข้าอุ้มแม่ชีเฟื่องเหาะไปยังกระท่อมทันที แม่ชีเฟื่องสงสัยว่าเหตุใดเทวดาจึงไม่พานางขึ้นสวรรค์ คงญวนปลอบโยนนางแล้วไต่ถามถึงความเป็นมา ในที่สุดทั้งสองก็รู้ความจริงและได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข คงญวนเล่าว่าขณะที่จากนางบุษบงครั้งเพลิงไหม้เมือง ต้องผจญภัยตกทุกข์ได้ยากจนได้มเหสีอีก 3 นาง จะให้มาไหว้นางบุษบง ฝ่ายมเหสีเลื่อนลอยฟ้า*ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นนางม่วง* มเหสีวันงอ*ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นนางดำม้า* และมเหสีแสงจันทร์*ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นนางหมาม้า*ไม่เห็นวงศเทวราชมาหาก็ให้คนไปสืบ รู้ว่าเป็นเพราะทรงได้นางชีจากถ้ำมาอยู่ด้วยในกระท่อมก็โกรธ ปรึกษากันจะไปทำร้ายแม่ชี นางสนมคลับคล้าย*ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นนางม่อม้า*และนางสนมหนูหุ่น*ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นนางอันม้า*ก็เข้าร่วมมือด้วย เมื่อทุกนางได้พบกัน คงญวนบอกนางทั้งห้าให้ไหว้นางบุษบงเพราะนางเป็นมเหสีเอก แต่นางทั้งห้ากลับท้าให้นางบุษบงต่อสู้กับพวกตน ถ้าชนะจึงจะยอมไหว้ ในที่สุดนางบุษบงซึ่งมีกำลังมากกว่าเพราะเป็นธิดาอสูรเป็นผู้ชนะ นางทั้งห้าจึงยอมอ่อนน้อม จากนั้นคงญวนให้บริวารทุกคนคืนร่างเดิมแล้วเดินทางกลับเมืองสมุทคีรี
ฝ่ายสังขปัดรู้ว่าวงศเทวราชเสด็จกลับถึงเมืองก็เข้ามาเฝ้า ครั้นเห็นนางทั้งหกก็ขอให้วงศเทวราชยกนางทั้งห้าที่ได้มาใหม่แก่ขุนทหาร โดยให้เหลือนางบุษบงเป็นมเหสีแต่เพียงผู้เดียว ครั้นวงศเทวราชไม่ยอมสังขปัดก็อาละวาด จนวงศเทวราชจับศรคิดจะแผลงสังหารแต่ยังชั่งใจอยู่ สังขปัดซึ่งป่วยอยู่เห็นดังนั้นก็กลัวตาย จึงตะกายเหาะหนีขึ้นไปสิ้นกำลังสิ้นชีวิตกลางอากาศ แล้วไปเกิดเป็นเปรตมาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายในงานฉลองเมืองเนาวรัตนนครซึ่งวงศเทวราชเสด็จกลับไปครอง วงศเทวราชให้หาผู้มีฝีมือมาช่วยปราบเปรตสังขปัด นางอินทวดี*ซึ่งใฝ่ฝันที่จะได้อยู่ใกล้ชิดวงศเทวราชมาขันอาสา วงศเทวราชหลงนางอินทวดีจนไม่ไปหาบรรดามเหสีและนางสนม ทุกนางจึงจับคู่กันเล่นเพื่อน นางบุษบงจับคู่กับนางเลื่อนลอยฟ้า ฝ่ายนางอินทวดีนั้นเมื่อใช้อุบายปราบเปรตสังขปัดไม่สำเร็จ ทั้งยังถูกบรรดามเหสีและนางสนมกำนัลช่วยกันขับไล่ก็หนีไป
เมื่อไม่มีผู้ใดปราบเปรตสังขปัดได้แม้แต่วงศเทวราชเอง วงศเทวราชให้ไปนิมนต์พระพรหมลิขิตฤๅษี*มาปราบได้ในที่สุด วงศเทวราชจึงได้ครองเมืองเนาวรัตนนครอย่างมีความสุขกับนางบุษบง มเหสีอื่น และนางสนมทั้งปวง
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory