TLD-003-2268
บุษบาก้าโละ (ชื่อตัวละคร)
บุษบาก้าโละ หรือบุษบาก้าโหละ*เป็นตัวละครในบทละครเรื่องดาหลัง เป็นธิดาท้าวดาหา* และประไหมสุหรี นางมีรูปโฉมงดงามมาก มีขนิษฐาชื่อบุษบาวิลิศ*ซึ่งเกิดจากมะเดหวีมเหสีลำดับที่ 2
ท้าวกุเรปัน*พระเจ้าลุงสู่ขอนางบุษบาก้าโละให้เป็นคู่ตุนาหงันของระเด่นมนตรี* (อิเหนา*) ตามประเพณีของวงศ์เทวา ท้าวกุเรปันส่งสารถึงท้าวดาหาเพื่อนัดพิธีวิวาห์ระหว่างระเด่นมนตรีและนางบุษบาก้าโละ การนัดหมายต้องเลื่อนไปถึง 3 ครั้ง เพราะระเด่นมนตรีบิดพลิ้วไม่ยอมเดินทางมากรุงดาหา* เนื่องจากไปได้หญิงชาวไร่ชื่อเกนบุษบาส่าหรี*เป็นชายา ระเด่นมนตรีให้สร้างพลับพลาไว้ในป่าเพื่ออยู่ร่วมกับนาง ท้าวกุเรปันทราบเรื่องก็กริ้วมากส่งเสนาผู้ใหญ่ไปประหารนางเกนบุษบาส่าหรี ระเด่นมนตรีโกรธพระบิดาและโศกเศร้าเสียใจมากจึงพาไพร่พลหนีไป ทั้งกองทัพปลอมเป็นโจรป่า ระเด่นมนตรีใช้ชื่อว่าปันหยี* ทั้งท้าวดาหาและนางบุษบาก้าโละเศร้าโศกเสียใจมากที่ระเด่นมนตรีหนีหายไป
จนวันหนึ่งมีดาหลัง*นักพากย์หนังเดินทางจากต่างเมืองมาเปิดการแสดงที่กรุงดาหา ตัวดาหลังนั้นรูปงามและมีฝีปากพากย์หนังเป็นที่เลื่องลือจนชาวเมืองพากันติดใจไปทั้งเมือง ดาหลังผู้นี้ก็คือระเด่นมนตรีหรือปันหยี ซึ่งได้ผจญภัยนานัปการหลังจากหนีออกจากกรุงกุเรปันแล้วปันหยีก็เหลือเพียงตนเองและประสันตา*พี่เลี้ยงซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นมิสามะงาหรัด* ทั้งสองเดินทางมากรุงดาหา ประกอบอาชีพเป็นดาหลัง ระเด่นมนตรีนั้นสามารถนำหนังสัตว์มาแกะสลักเป็นตัวหนังที่สวยงามและแต่งบทพากย์ได้เอง
ดาหลังได้โอกาสไปแสดงถวายในวัง ระหว่างที่พากย์หนังอยู่นั้นก็นึกถึงพระธิดาซึ่งเคยเป็นคู่หมั้นของตนว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร พระอัยกาปะตาระกาหลา*รู้ความคิดของดาหลัง จึงนิมิตตนเป็นลิปาง (ตะขาบ) เลื้อยเข้าหานางบุษบาก้าโละ นางตกใจร้องขึ้น พี่เลี้ยงจึงจุดไฟส่องหาต้นเหตุ แสงไฟนั้นทำให้ดาหลังได้เห็นโฉมนางก็หลงรักนางในทันที และทำอุบายลอบเข้าไปหานางบุษบาก้าโละถึงห้องบรรทม นางบุษบาก้าโละกริ้วมากที่มีชายลอบมากอดทางด้านหลัง จะดิ้นและสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุดเพราะถูกดาหลังกอดไว้แน่น นางไม่กล้าส่งเสียงร้องให้คนช่วยเพราะเกรงจะถูกครหาว่ามีชายมาถูกเนื้อต้องตัวถึงในห้องบรรทม นางบุษบาก้าโละไม่ยอมพูดด้วยและไม่หันไปมองหน้าไม่ว่าดาหลังจะพูดจาเล้าโลมเพียงใด ดาหลังแสร้งพูดประชดไปถึงระเด่นมนตรีคู่หมั้นของนาง ทำให้นางบุษบาก้าโละโกรธมากขึ้นเพราะเข้าใจว่าดาหลังรู้เรื่องที่ตนถูกคู่หมั้นทอดทิ้งแล้วมาเยาะเย้ย ดาหลังจึงส่งกริชให้นางแล้วบอกให้ฆ่าตนเสีย หวังจะให้นางดูชื่อที่กริช แต่นางก็ไม่ยอมดู ดาหลังทำเช่นนี้ทุกครั้งที่เข้ามาแสดงหนังในวัง นางบุษบาก้าโละก็ไม่พูดไม่มองเช่นเดิม
กล่าวถึงระตูปะตาหน*ยังไม่มีประไหมสุหรี ได้ทราบข่าวว่าธิดาท้าวดาหาไม่ได้เข้าพิธีวิวาห์เพราะคู่หมั้นไม่ยอมมาตามกำหนด จึงส่งสารมาขอนางบุษบาก้าโละ ท้าวดาหากำลังกริ้วระเด่นมนตรีจึงยกให้ทันที ระตูปะตาหนพร้อมอนุชา 2 องค์เดินทางมากรุงดาหาเพื่อเตรียมเข้าพิธีสมรส นางบุษบาก้าโละตัดสินใจเล่าเรื่องดาหลังลอบเข้าหาให้พี่เลี้ยงทราบ พี่เลี้ยงเห็นว่าดาหลังเป็นคนที่มีรูปลักษณะดี น่าจะเป็นกษัตริย์ปลอมตัวมา จึงแนะนำให้นางบุษบาก้าโละปรึกษากับดาหลังเรื่องระตูปะตาหน
วันต่อมาเมื่อดาหลังเข้ามาหานางบุษบาก้าโละตามเคย นางจึงบอกว่าอีก 5 วันนางจะต้องแต่งงานกับระตูปะตาหน นางไม่ประสงค์จะให้มีชายคนที่ 2 มาถูกเนื้อต้องตัวนางอีก ดาหลังอ้างว่าตนไม่ใช่เชื้อวงศ์กษัตริย์ ทั้งยังบอกว่าจะรอชมบารมีของนางในพิธีแต่งงาน เมื่อเห็นว่านางโกรธจึงยื่นกริชให้ นางบุษบาก้าโละไม่ยอมดูกริชเพราะกริ้ว ดาหลังน้อยใจที่นางไม่ยอมดูกริช จึงกลับไปโดยบอกว่าจะลาไปป่าสัก 5 วัน พี่เลี้ยงเห็นว่านางทำไม่ถูกที่ไม่ยอมดูกริช เพราะกริชจะต้องจารึกชื่อเจ้าของและชื่อเมืองที่อยู่ด้วย นางบุษบาก้าโละเพิ่งรู้ตัวว่าพลาดไป พี่เลี้ยงจึงแนะว่าให้รอก่อนเพราะดาหลังอาจไปหาทางแก้ไข
ฝ่ายดาหลังไปเรียนวิชากับฤๅษีในป่า ได้มนตร์ที่ทำให้หายตัวได้ จึงลอบเข้าไปฆ่าระตูปะตาหนขณะหลับถึงในพลับพลา อนุชาทั้งสองแค้นใจและเข้าใจว่าผู้ที่ฆ่าจะต้องเกี่ยวข้องกับนางบุษบาก้าโละ ทั้งสองจึงไปทูลท้าวดาหา ขอให้นางบุษบาก้าโละเข้าพิธีแบหลา (โจนเข้ากองไฟตายตามสามี) ในพิธีเผาศพระตูปะตาหน ท้าวดาหาไม่ทันคิดก็อนุญาต พระญาติวงศ์ทั้งหลายไม่มีใครเห็นด้วย เพราะนางบุษบาก้าโละยังไม่ได้เข้าพิธีวิวาห์ แต่ท้าวดาหาก็ไม่ยอมคืนคำ นางบุษบาก้าโละจึงต้องเข้าพิธีแบหลา นางอธิษฐานขอให้ปะตาระกาหลาช่วย แล้วโจนลงไปในกองเพลิง พี่เลี้ยงทั้งสี่โจนตามไปด้วย ปะตาระกาหลานิรมิตบัวกลด (บัวทอง) มารองรับนางทั้ง 5 คน แล้วยกดอกบัวใส่รถเหาะไป ผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เห็นเพียงนางและพี่เลี้ยงกระโจนเข้ากองไฟ ทุกคนเข้าใจว่านางสิ้นชีวิต ดาหลังเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจจนสติฟั่นเฟือน พี่เลี้ยงคือประสันตา*หรือมิสามะงาหรัด*ต้องพาเข้าป่าเพื่อไม่ให้ใครสงสัย
ปะตาระกาหลาพารถที่นางบุษบาก้าโละประทับอยู่พร้อมพี่เลี้ยงมาถึงเชิงเขาก็ปรากฏกายให้เห็น และบอกว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะกรรมเก่าของนาง แล้วร่ายเวทมนตร์ให้นางและพี่เลี้ยงกลายเป็นผู้ชาย ให้กริชแก่ทุกคน นางบุษบาก้าโละได้ชื่อว่ามิสาประหมังกุหนิง* แล้วประสาทพรให้มีร่างกายคงกระพัน ให้ชนะทุกคนที่มาต่อสู้ด้วย ปะตาระกาหลาบอกนางบุษบาก้าโละว่าเมื่อใดที่นางได้พบคู่ตุนาหงันรู้จักกันแล้วก็จะกลายร่างเป็นหญิงตามเดิม นางบุษบาก้าโละนึกสงสารพระมารดาว่าจะเศร้าโศกมากเพราะเข้าใจว่านางสิ้นชีวิต แต่ก็ไม่อยากกลับกรุงดาหาเพราะเกรงว่าพระบิดาจะให้แต่งงานอีก นางปรึกษากับพี่เลี้ยงว่าจะคอยทีให้ทัพอนุชาระตูปะตาหนผ่านมาแล้วจะได้แก้แค้น นางบุษบาก้าโละและพี่เลี้ยงได้พบกับกองทัพของอนุชาระตูปะตาหน นางกับพี่เลี้ยงจึงเข้าไปท้ารบและประหารอนุชาทั้งสองได้ เสนาผู้ใหญ่ในกองทัพจึงเชิญให้มิสาประหมังกุหนิงไปครองเมืองปะตาหน มิสาประหมังกุหนิงมีความทุกข์คิดถึงดาหลังและเริ่มสงสัยว่าดาหลังน่าจะเป็นระเด่นมนตรี ปะตาระกาหลาจึงมาเข้าฝันบอกว่าดาหลังนั้นคือระเด่นมนตรี ขณะนี้สติฟั่นเฟือนอยู่ในป่าใกล้เมืองดาหาเพราะเข้าใจว่านางสิ้นชีพ
มิสาประหมังกุหนิงจึงยกทัพออกตามหาระเด่นมนตรี ระหว่างทางผ่านเมืองต่าง ๆ บางเมืองต้องสู้รบกันและก็ยอมแพ้แก่มิสาประหมังกุหนิงในที่สุด หลายเมืองยอมอ่อนน้อมถวายธิดาและบรรณาการต่างๆ มิสาประหมังกุหนิงได้เมืองขึ้นถึง 8 เมือง ได้ธิดาเจ้าเมืองต่าง ๆ และระตูปะหนันสลัด*ถวายธิดาชื่อสการะวาตี*และโอรสชื่อวิหยาสะกำ* มีชันษา 8 ปี มิสาประหมังกุหนิงรับไว้เป็นโอรสบุญธรรม ระหว่างที่มิสาประหมังกุหนิงพักอยู่ที่เมืองปะหนันสลัด* ปะตาระกาหลามาเข้าฝันให้ไปช่วยพระญาติคือท้าวกาหลัง* จะหรังกะหนังโหละ* (อนุชาของระเด่นมนตรี) และจินตระวันหนา* (โอรสท้าวสิงหัดส่าหรี*) เนื่องจากศิริกัน*โอรสท้าวกาหลังก่อการกบฏจับทั้ง 3 องค์ขังไว้ในตรุกลางป่า ปะตาระกาหลาช่วยย่นระยะทางให้ มิสาประหมังกุหนิงจึงมาช่วยทั้ง 3 องค์ได้ทันท่วงที และจับศิริกันไปประหารด้วย มิสาประหมังกุหนิงเปิดเผยตนกับญาติผู้พี่ผู้น้อง แต่ไม่แสดงตนให้ท้าวกาหลังทราบ จะหรังกะหนังโหละซึ่งใช้นามว่ากุดาวิราหยา* บอกท้าวกาหลังว่ามิสาประหมังกุหนิงเป็นน้องคนรองของตน ส่วนมิสาหยังส่าหรี* (จินตระวันหนา) เป็นน้องคนเล็ก ท้าวกาหลังรับทั้ง 3 คนเป็นโอรสบุญธรรม เทวดาองค์หนึ่งถูกสาปให้เป็นยักษ์อยู่ในป่า ประสงค์จะให้ตนพ้นคำสาป จึงมาลักพานางบุษบาอากง*ธิดาท้าวกาหลังไปไว้บนต้นไม้ในป่า เพื่อให้พวกวงศ์เทวาตามไปฆ่าตน มิสาประหมังกุหนิง กุดาวิราหยา และมิสาหยังส่าหรีจึงอาสาไปตามนาง เมื่อฆ่ายักษ์ได้แล้วก็พานางกลับมา
ระหว่างทางทั้งสามพี่น้องหลับอยู่ในป่า มีเทวดาอีกองค์หนึ่งถูกสาปให้เป็นเสือ เห็นกษัตริย์วงศ์เทวาก็นึกอยากจะให้ฆ่าตนเพื่อจะได้พ้นคำสาป จึงมาคาบกุดาวิราหยาไป เมื่อมิสาประหมังกุหนิงและมิสาหยังส่าหรีตื่นขึ้นก็รู้ว่ากุดาวิราหยาหายไป จึงพานางบุษบาอากงไปเมืองกาหลัง*ก่อน แล้วทั้งสองก็ลาท้าวกาหลังออกติดตามกุดาวิราหยาและปันหยี (ดาหลังหรือระเด่นมนตรี) กองทัพของมิสาประหมังกุหนิง (นางบุษบาก้าโละ) และมิสาหยังส่าหรีเดินทางไปจนถึงบาหลีก็มิได้พบปันหยี ระหว่างทางผ่านเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่ยอมอ่อนน้อม บางเมืองเช่นเมืองมรกัดสุหรู* ไม่ยอมก็ต่อสู้กันแต่ในที่สุดมิสาประหมังกุหนิงก็ชนะ มิสาประหมังกุหนิงและมิสาหยังส่าหรีติดตามหาปันหยีและกุดาวิราหยาจนสุดแดนชวาก็ไม่พบ ทำให้เป็นทุกข์มาก จึงไปบวงสรวงเทวดาที่เขาปะลูหงัน*ซึ่งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง เทวดารับบวงสรวงแล้วแจ้งว่าปันหยีอยู่ที่เมืองมงกล* มิสาประหมังกุหนิงจึงเกณฑ์ทัพเมืองต่างๆให้มาช่วยอ้างว่าจะไปตีเมืองกาหลัง แต่มุ่งหน้าไปเมืองมงกลก่อน มิสาประหมังกุหนิงส่งสารถึงปันหยีซึ่งขณะนั้นครองเมืองมงกลอยู่ ขออนุญาตยกทัพผ่านเมืองมงกล
ฝ่ายปันหยีซึ่งขณะนั้นอยู่กับอนุชาคือกุดาวิราหยา (จะหรังกะหนังโหละ) ได้ทราบจากอนุชาว่านางบุษบาก้าโละยังมีชีวิตอยู่ และใช้ชื่อว่ามิสาประหมังกุหนิง ปันหยีดีใจมาก จึงส่งสารอนุญาตด้วยความยินดี และยังแจ้งว่าอีก 7 วันจะตามไปช่วยรบกับเมืองกาหลังด้วย มิสาประหมังกุหนิงจัดทัพอย่างเกรียงไกรสง่างาม เดินทัพผ่านเมืองมงกลไปรอในป่าใกล้เมืองกาหลัง ผ่านไป 7 วันปันหยียังไม่มา ก็รู้สึกน้อยใจจึงไปเข้าเฝ้าท้าวกาหลัง ปันหยียกทัพมากาหลังกับกุดาวิราหยา แล้วแสร้งปลอมตนเป็นกระเทยชื่อสะระหนากะดี* กุดาวิราหยาถวายเมืองขึ้นต่าง ๆ ให้ท้าวกาหลัง กุดาวิราหยาแจ้งแก่มิสาประหมังกุหนิงว่าเชลยกระเทยนี้ได้มาจากเมืองล่าสำ* มิสาประหมังกุหนิงก็เชื่อ แต่สังเกตว่าสะระหนากะดีชอบมาลวนลามบ่อยๆ
จนวันหนึ่งสะระหนากะดีไม่ได้ทาแป้งปิดไฝแดง มิสาประหมังกุหนิงก็จำได้ทันทีว่าเป็นดาหลัง เมื่อจำคู่ตุนาหงันของตนได้ ร่างกายของมิสาประหมังกุหนิงก็กลายเป็นหญิงทันที พี่เลี้ยงทั้งสี่ก็กลายเป็นหญิงเช่นกัน นางบุษบาก้าโละ (มิสาประหมังกุหนิง) เกรงจะถูกครหาว่าเป็นหญิงแล้วมาไล่ตามผู้ชาย จึงสั่งพี่เลี้ยงให้เตรียมเครื่องบวชชี แล้วอธิษฐานขอให้ปะตาระกาหลากำบังกายไม่ให้คนเห็น ปะตาระกาหลาช่วยแล้วก็สั่งให้เทวดาไปเนรมิตอาศรมไว้ให้ จารึกไว้ที่อาศรมว่าใครเป็นวงศ์เทวาให้ใช้อาศรมของปะตาระกาหลาได้ นางบุษบาก้าโละและพี่เลี้ยงทั้งสี่จึงเข้าไปบวชอยู่ที่อาศรมนั้น
ฝ่ายปันหยี (ระเด่นมนตรี) เมื่อรู้ว่านางบุษบาก้าโละหายไป ก็ออกติดตามไปจนพบ แล้วเล่าเรื่องที่ได้พลัดพรากกัน นางบุษบาก้าโละยังเคืองแค้นที่ระเด่นมนตรีหนีการวิวาห์ ระเด่นมนตรีขอโทษแล้วต่างคนต่างเล่าเรื่องที่ได้ประสบมาสู่กันฟัง แล้วให้นางลาบวช ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในพลับพลา ตอนท้ายเรื่องเมื่อโอรสและธิดาของวงศ์เทวามาอยู่พร้อมกันแล้วจึงให้ส่งสารไปทูลเชิญกษัตริย์ทั้ง 3 เมือง คือ ท้าวกุเรปัน ท้าวดาหา และท้าวสิงหัดส่าหรี ให้มาพบกันที่เมืองกาหลัง
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory