แก้วมณีเป็นดวงแก้ววิเศษในเรื่องเฉลิมไตรภพ เดิมเป็นของท้าวมังกรการ*เจ้าพิภพบาดาลบิดาของนางเมขลา* ยามท้าวมังกรการอมดวงแก้วมณีไว้ในปาก แสงของแก้วมณีสุกสว่างดั่งไฟ เมื่อใดที่ท้าวมังกรการเดินทางจะวางแก้วมณีไว้กลางศีรษะ แก้วมณีก็จะมีแสงรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง ทั้งมีฤทธิ์บันดาลให้แปลงกายและเหาะเหินเดินอากาศได้
ในเวลาต่อมาพระอิศวร*ได้เป็นผู้ครอบครองแก้วมณี เมื่อท้าวมังกรการได้นำแก้วมณีพร้อมนางเมขลาบุตรีมาถวาย พระอิศวรทรงรับนางเมขลาเป็นชายาและมอบหมายให้นางมีหน้าที่ดูแลรักษาแก้วมณีในวันที่มีเวรเข้าเฝ้าพระองค์ วันหนึ่งนางเมขลาตามเสด็จพระอิศวรและพระอุมา* แลเห็นสองพระองค์เกษมสุขร่วมกัน นางหวนคิดถึงตนเองแล้วรู้สึกคับแค้นใจไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้จึงขโมยแก้วมณีมายังวิมานของตน วางแก้วแล้วไหว้ตั้งจิตอธิษฐานระลึกพระคุณบิดามารดา ขอพรให้สมปรารถนาดังใจนึกให้เรืองฤทธิ์เดช มิให้ผู้ใดที่ติดตามค้นหาพบเห็นตน คลาดแคล้วจากเทพอาวุธและอย่าให้ชายใดมาแผ้วพาน
นางเมขลาถือดวงแก้ววิเศษไว้แล้วใช้ฤทธิ์บังตาเทวดาทั้งหลาย ไปดื่มและสรงน้ำอมฤต* อำนาจวิเศษของน้ำอมฤตทำให้นางมีฤทธานุภาพและพระเวทมนตราแรงกล้า นับแต่นั้นมานางเมขลาก็เป็นผู้ครอบครองแก้วมณีวิเศษนี้และเหาะเที่ยวเล่นเรื่อยไป พระอิศวรโปรดให้ค้นหาติดตามแก้วมณีและนางเมขลากลับมาแต่ไม่มีผู้ใดเห็นตัวนาง แลเห็นแต่เพียงแสงแก้วมณีที่สว่างปลาบแปลบแวบวับแลเห็นเป็นฟ้าแลบยามที่นางโยนแก้วมณีเล่น แม้รามสูร*ขุนมารซึ่งมีขวานวิเศษเป็นอาวุธจะเพียรพยายามติดตามนางอย่างไม่ลดละเพื่อนำแก้วมณีกลับไปถวายพระอิศวร แต่ด้วยอำนาจแก้วมณีวิเศษ รามสูรก็ไม่อาจติดตามนางได้ทัน นางเมขลาไม่เกรงกลัวกลับหัวเราะเยาะและขยับแก้วมณีส่องแสงแปลบปลาบวาบตา เชื่อกันว่าเมื่อนางเมขลาล่อแก้วมณีทำให้แลเห็นเป็นฟ้าแลบและเมื่อรามสูรขว้างขวานเกิดเสียงดังกึกก้องเป็นสาเหตุของฟ้าร้องและฟ้าผ่า