TLD-003-3155
ภูริทัต (ชื่อตัวละคร)
ภูริทัตชาดก นิบาตชาดก
ภูริทัตเป็นตัวละครในเรื่องภูริทัตชาดก มหานิบาต ในนิบาตชาดก เป็นโอรสท้าวธตรฐ*กับนางสมุททชา* เป็นพระโพธิสัตว์
พระราชาพรหมทัตครองเมืองพาราณสี ทรงตั้งโอรสเป็นอุปราช ต่อมาทรงระแวงว่าโอรสจะชิงราชสมบัติจึงสั่งให้ไปอยู่ที่อื่น เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจึงจะให้กลับมาครองราชสมบัติ พระโอรสทรงดำเนินไปจนถึงแม่น้ำยมุนา แล้วสร้างบรรณศาลาระหว่างเขตแม่น้ำยมุนาและทะเลกับภูเขาต่อกัน เลี้ยงชีพด้วยผลไม้
ครั้งนั้นยังมีนางนาคตนหนึ่งสามีตาย นางเห็นนาคอื่นๆ มีความสุขกับสามีก็อยากจะมีความสุขบ้าง จึงออกจากนาคพิภพเที่ยวไปตามฝั่งทะเล พบรอยเท้าพระโอรส จึงตามรอยเท้าไปถึงบรรณศาลา เวลานั้นพระโอรสไปหาผลไม้ในป่า นางเข้าไปในบรรณศาลาเห็นบริขารของบรรพชิต จึงคิดจะทดลองว่าบรรพชิตนั้นบวชด้วยศรัทธาหรือไม่ ถ้าบรรพชิตนั้นยังยินดีด้วยกามคุณนางก็จะยึดไว้เป็นสามี นางจึงนำดอกไม้ทิพย์และของหอมมาจัดที่นอนในบรรณศาลาแล้วกลับไปพิภพนาค เมื่อพระโอรสกลับมาก็แปลกพระทัยแต่พอพระทัยที่นอนซึ่งมีกลิ่นหอมจึงบรรทมอย่างสุขสบาย นางนาคมาจึงรู้ว่านักพรตนั้นมีใจฝักใฝ่ทางกามคุณ ทั้งสองก็อยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยา นางนาคเนรมิตที่อยู่และอาหารทิพย์ ต่อมานางนาคประสูติโอรสชื่อสาครพรหมทัต*เพราะประสูติที่ฝั่งสาครและประสูติธิดาที่ฝั่งสมุทรจึงได้ชื่อว่าสมุททชา
ต่อมาพระราชาสิ้นพระชนม์พระโอรสก็ได้ครองราชย์ทรงนามว่ากาสิกราช* พระองค์ชวนนางนาคไปด้วยแต่นางปฏิเสธ อธิบายว่านางเป็นนาคมีพิษร้ายฉุนเฉียวง่ายไม่สามารถอยู่กับหญิงอื่นที่จะร่วมสามีได้ นางจึงขอให้สร้างเรือให้ลูกทั้งสองเดินทางไป เมื่อถึงเมืองก็ให้สร้างสระโบกขรณีให้ลูกเล่นน้ำ แล้วนางก็กลับไปนาคพิภพ พระราชาก็ทำตามนั้น วันหนึ่งน้ำไหลเข้าสระโบกขรณี เต่าตัวหนึ่งตามน้ำเข้าไป พระโอรสและธิดาเห็นเต่าก็ตกใจกลัวเข้าใจว่าเป็นยักษ์ พระเจ้าพาราณสีจึงให้เอาเต่าไปทิ้งที่น้ำวนแม่น้ำยมุนา เต่าก็จมลงไปจนถึงปล่องน้ำทางเข้านาคพิภพ นาคมาณพโอรสท้าวธตรฐเล่นน้ำอยู่เห็นเต่าก็ให้จับไว้ เต่าอ้างว่าตนชื่อจิตตจุฬ*เป็นทูตที่พระเจ้าพาราณสีให้มาเฝ้าท้าวธตรฐเพราะจะถวายธิดาให้ เมื่อเต่าได้เข้าเฝ้าท้าวธตรฐก็ทูลให้ส่งนาค 4 ตนไปนัดหมายวันรับพระธิดา ท้าวธตรฐก็บอกให้ทำตามนั้น ระหว่างทางเต่าก็หนีไป นาคทั้งสี่จึงแปลงเป็นชายหนุ่มเข้าเฝ้าพระเจ้าพาราณสี ทูลเรื่องตามที่เต่าว่า พระราชาทรงปฏิเสธว่าไม่เคยคิดจะให้พระธิดาสมรสกับนาค นาคจึงกลับไปเฝ้าท้าวธตรฐแล้วทูลความต่อเติมเพื่อให้ท้าวธตรฐกริ้วว่าพระเจ้าพาราณสีดูหมิ่น ท้าวธตรฐสั่งให้นาคจำนวนมากไปเมืองพาราณสี กำชับว่าไม่ให้ทำร้ายใคร แต่ให้ไปแผ่พังพานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้คนกลัว ชาวเมืองเดือดร้อนไปทูลขอให้พระราชาประทานธิดาแก่พญานาค นาคมาณพทั้งสี่เข้าไปขู่พระราชาจนต้องยอมยกนางสมุททชาให้ท้าวธตรฐ นาคเหล่านั้นออกไปจากเมืองราว 1 ใน 4 โยชน์แล้วเนรมิตเมืองที่สวยงามราวเทพนครขึ้น พระเจ้าพาราณสีให้อำมาตย์ทั้งหลายพาพระธิดาไปส่งที่เมืองนั้น พวกอำมาตย์ก็ได้รับทรัพย์กลับมาเป็นอันมาก ท้าวธตรฐให้ประกาศไปทั่วเมืองว่าห้ามนาคสำแดงกายเป็นงูให้นางสมุททชาเห็น นางก็อยู่ร่วมกับท้าวธตรฐอย่างเป็นสุข
ต่อมานางสมุททชามีโอรส 4 องค์ คือ สุทัสนะ* ทัตตะ* (คือพระโพธิสัตว์) สุโภคะ* และอริฏฐะ* เมื่อมีปัญหาใดๆ ในนาคพิภพ ทัตตะก็จะเป็นผู้แก้ปัญหานั้น ทัตตะไปเฝ้าท้าววิรูปักข์*กับบิดาเสมอ ได้ช่วยแก้ปัญหาในสำนักนั้น วันหนึ่งท้าววิรูปักข์พานาคไปเฝ้าท้าวสหัสนัยน์* (พระอินทร์) มีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างเทวดาทั้งหลาย ทัตตะโพธิสัตว์แก้ปัญหานั้นได้ พระอินทร์จึงบูชาด้วยดอกไม้ทิพย์ สรรเสริญว่าเป็นผู้มีปัญญามากเท่าแผ่นดินจึงประทานชื่อว่าภูริทัต
ภูริทัตได้เฝ้าพระอินทร์เห็นวิมานอันงดงามก็มีความพอใจเทวโลก จึงตกลงใจว่าจะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลก เมื่อกลับสู่นาคพิภพภูริทัตก็รักษาอุโบสถ เหล่านางนาคบริวารถือเครื่องดนตรีมาห้อมล้อม ภูริทัตคิดว่าในพิภพนาคนั้นตนคงจะรักษาอุโบสถไม่ได้ ฉะนั้นจะขึ้นไปรักษาศีลอุโบสถในโลกมนุษย์ จึงขึ้นมาโดยมิได้ทูลลาพระชนกชนนี มาขดกายนอนอยู่ที่จอมปลวกข้างต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา รักษาอุโบสถ สั่งนางนาค 10 ตนให้ถือเครื่องดนตรีและดอกไม้ ฟ้อนรำขับร้องในตอนเช้าแล้วพาตนกลับนาคพิภพ ภูริทัตรักษาอุโบสถศีลในวันอุโบสถตลอดคืนด้วยวิธีนี้เป็นเวลานาน
ครั้งนั้นมีพราหมณ์เนสาท (พราน) ผู้หนึ่งอยู่ใกล้ประตูเมืองพาราณสี พาบุตรชายชื่อโสมทัต*ไปดักสัตว์ฆ่าเนื้อขายเลี้ยงชีพอยู่เป็นนิจ วันหนึ่งพราหมณ์เนสาทล่าอะไรไม่ได้เลย แต่จะต้องหาสัตว์สักอย่างให้ได้ มิฉะนั้นภรรยาจะโกรธ พราหมณ์เดินมาใกล้จอมปลวกที่ภูริทัตนอนอยู่ เห็นรอยเนื้อก็มาซุ่มคอยทีอยู่ เมื่อเนื้อมากินน้ำก็ยิงแล้วแล่เนื้อหาบไป พอดีค่ำพราหมณ์เนสาทกับบุตรก็ขึ้นไปนอนบนค่าคบไม้ ตอนเช้าได้ยินเสียงนางนาคมาบำเรอภูริทัต พราหมณ์เห็นภูริทัตในรูปมนุษย์ที่ดูสง่างามจึงเข้าไปหา ฝูงนางนาคก็พากันแทรกแผ่นดินหนีไป พราหมณ์เนสาทถามว่าภูริทัตเป็นใคร ภูริทัตตอบตามจริงแล้วชวนไปอยู่นาคพิภพ โดยสัญญาว่าจะให้โภคทรัพย์อย่างสุขสบาย เพราะเกรงว่าพราหมณ์เนสาทจะเป็นอันตรายต่อการรักษาอุโบสถศีลของตน พราหมณ์และบุตรตกลงไปอยู่นาคพิภพ ภูริทัตโพธิสัตว์ยกสมบัติทิพย์ให้พ่อลูกจำนวนมากและให้นางนาคคนละ 400 ทั้งสองคนก็อยู่ในเมืองนาคนั้น อยู่ได้ปีหนึ่งสองพ่อลูกก็ขอกลับมนุษยโลก ภูริทัตอนุญาตและคิดว่าหากตนให้พราหมณ์อยู่อย่างเป็นสุข พราหมณ์คงจะไม่บอกใครเรื่องตน จึงให้แก้วสารพัดนึกแก่พราหมณ์ พราหมณ์ไม่รับแก้วมณีอ้างว่าจะไปบวช ภูริทัตจึงบอกว่าถ้ารักษาพรหมจรรย์ไม่ได้ก็จะต้องทำมาหากิน หากต้องการทรัพย์เมื่อใดให้มาหาตน พราหมณ์ก็รับคำ เมื่อพราหมณ์เดินไปก็จำได้ว่าเป็นที่ซึ่งตนล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ เมื่อพ่อลูกถอดเครื่องประดับและผ้าทิพย์วางไว้เพื่อลงไปอาบน้ำ ทุกอย่างก็อันตรธานไป มีแต่เสื้อผ้าเก่ารวมอยู่ตามเดิม พ่อลูกกลับบ้านเล่าให้ภรรยาฟังว่าไปอยู่นาคพิภพมา ภรรยาถามลูกว่าได้อะไรมาบ้าง ลูกตอบว่าภูริทัตให้แก้วสารพัดนึกแต่พราหมณ์ไม่รับเพราะจะบวช ภรรยาโกรธมากทั้งตีและด่าพราหมณ์ พราหมณ์จึงชวนลูกชายออกไปล่าสัตว์ตามเคย
ครั้งนั้นมีครุฑตนหนึ่งจับนาคได้ก็หิ้วทางหัวไป ผ่านต้นไทรใหญ่ใกล้บรรณศาลาของฤๅษีตนหนึ่ง นาคพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจึงเอาหางพันต้นไทร ครุฑบินไปด้วยกำลังแรงฉุดต้นไทรไปด้วย ครุฑกินมันเหลวในท้องนาคแล้วทิ้งลงน้ำ ต้นไทรก็หล่นลงไปด้วย ครุฑนึกได้ว่าต้นไทรนั้นอยู่ใกล้อาศรมฤๅษี ฤๅษีอาจจะใช้ประโยชน์จากต้นไทร ครุฑเกรงว่าจะเป็นบาปจึงบินมาถามฤๅษีว่าการทำเช่นนี้บาปหรือไม่ ฤๅษีตอบว่าไม่บาปเพราะมิได้เจตนา ครุฑบอกว่าตนรู้มนตร์ชื่ออาลัมพายน์* จะขอถวายมนตร์ให้ ฤๅษีปฏิเสธแต่ครุฑก็วิงวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าขอให้รับ พระฤๅษีจึงตกลงรับมนตร์ไว้
พราหมณ์คนหนึ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัว เจ้าหนี้ทวงถามมากมาย จึงคิดว่าตนจะไปตายเสียในป่า ออกจากบ้านไปป่า ไปถึงอาศรมของฤๅษีผู้ได้อาลัมพายน์มนตร์ พราหมณ์ปรนนิบัติฤๅษีด้วยประการต่างๆ ฤๅษีรู้สึกว่าพราหมณ์ดีต่อตนมาก จะให้มนตร์อาลัมพายน์ แม้พราหมณ์จะปฏิเสธแต่ฤๅษีก็ให้จนได้ พราหมณ์ได้มนตร์แล้วก็คิดว่ามีช่องทางทำอาชีพแล้วจึงลาไป เดินสาธยายมนตร์ไปตามทาง ในขณะนั้นเหล่าบริวารนางนาคของภูริทัตถือแก้วสารพัดนึกมาจากนาคพิภพ วางแก้วนั้นไว้บนกองทรายริมฝั่งน้ำยมุนา แล้วเล่นน้ำกันตลอดคืน เช้าขึ้นนั่งล้อมแก้วมณีเพื่อให้สิริเข้าสู่กาย เหล่านางนาคได้ยินเสียงมนตร์ก็เข้าใจว่าพราหมณ์เป็นครุฑจึงแทรกแผ่นดินหนีไป ทิ้งแก้วมณีไว้ พราหมณ์ก็ดีใจหยิบแก้วมณีไป พราหมณ์เดินไปเจอพราหมณ์เนสาทกับโสมทัต ทั้งสองคนเห็นแก้วมณีที่พราหมณ์ถือมาก็จำได้ พราหมณ์เนสาทจึงบอกลูกชายว่าตนจะหลอกเอาแก้วมณีโดยกล่าวถึงโทษของแก้วมณี โสมทัตก็ท้วงว่าครั้งที่ภูริทัตให้พ่อไม่รับ คราวนี้จะไปหลอกพราหมณ์เอาแก้วมณีนั้นไม่ถูกต้อง แต่พราหมณ์เนสาทก็ยืนยันว่าตนจะหลอกเอาให้ได้
พราหมณ์เนสาทบอกพราหมณ์ผู้นั้นว่าแก้วมณีนี้รักษายาก ตนจะให้ทองร้อยหนึ่งแลกแก้วมณี แต่พราหมณ์ไม่ยอมแลกกับสมบัติใดๆ นอกจากพญานาคขนาดใหญ่ แล้วบอกว่าตนเป็นอาจารย์พวกหมองู ไม่กลัวนาคเพราะมีมนตร์อาลัมพายน์ พราหมณ์เนสาทคิดว่าถ้าให้พราหมณ์ผู้นี้ไปจับภูริทัตตนก็จะได้แก้วสารพัดนึก จึงปรึกษาบุตร โสมทัตเตือนบิดาว่าภูริทัตดีต่อบิดาเป็นอันมาก เหตุใดบิดาจึงประทุษร้ายต่อผู้ที่ทำดี ถ้าอยากได้ทรัพย์ก็ไปขอภูริทัตและบอกว่าคนประทุษร้ายต่อมิตรย่อมตกนรก พราหมณ์เนสาทไม่เชื่อ อ้างว่าเมื่อบูชามหายัญแล้วก็จะพ้นบาป โสมทัตจึงหนีไปบวชเป็นฤๅษีในป่าหิมพานต์ บำเพ็ญเพียรจนได้อภิญญาสมาบัติ เมื่อสิ้นชีพก็ไปเกิดในพรหมโลก
พราหม์เนสาทเข้าใจว่าโสมทัตกลับไปบ้าน จึงพาพราหมณ์ผู้รู้มนตร์ไปหาภูริทัตซึ่งรักษาอุโบสถอยู่ ชี้ให้ดูภูริทัตแล้วขอแก้วมณี ขณะนั้นภูริทัตลืมตาขึ้นเห็นพราหมณ์เนสาทก็รู้ว่าพาหมองูมาจับตน ถ้าตนโกรธผู้ประทุษร้าย ศีลก็จะขาด ฉะนั้นพราหมณ์ผู้รู้มนตร์จะทำร้ายอย่างไรก็จะไม่โกรธ คิดแล้วก็หลับตาบำเพ็ญอธิษฐานบารมี พราหมณ์ผู้รู้มนตร์เห็นนาคก็ดีใจ โยนแก้วมณีไปที่มือของพราหมณ์เนสาท แก้วตกลงสู่นาคพิภพ พราหมณ์เนสาทก็เสื่อมจากฐานะ 3 ประการ คือเสื่อมจากแก้วมณี เสื่อมจากมิตรภาพกับภูริทัต และเสื่อมจากบุตรของตน พราหมณ์เนสาทร้องไห้รำพันว่าตนหมดที่พึ่งเพราะไม่ทำตามคำของบุตร แล้วกลับไปบ้าน
พราหมณ์ผู้รู้มนตร์อาลัมพายน์ร่ายมนตร์แล้วทารุณพญานาคภูริทัตอย่างหนัก ใช้ทั้งยาและมนตร์ทำร้าย แต่ภูริทัตโพธิสัตว์ก็มิได้โกรธ พราหมณ์จับพญานาคใส่กระโปรง (คล้ายกระเช้า) ซึ่งถักด้วยเถาวัลย์ นำไปแสดงตามคำสั่งในหมู่บ้านต่างๆ คนก็พากันให้สิ่งของ เครื่องประดับและทรัพย์ต่างๆ แก่พราหมณ์ พราหมณ์ให้กบเป็นอาหารแต่พญานาคไม่รับ เวลาผ่านไปเป็นเดือนพราหมณ์ทูลพระเจ้าพาราณสีว่าตนจะให้พญานาคแสดงถวาย พระราชาจึงประกาศให้คนมาชุมนุมกันดูพญานาคที่หน้าพระลาน
วันที่พราหมณ์จับภูริทัตไปนั้น นางสมุททชาฝันว่า ชายผิวดำ ตาแดง ตัดแขนขวาของนางขาดแล้วนำไปทิ้ง นางสงสัยที่ภูริทัตมิได้มาเฝ้าจนเวลาล่วงไป 1 เดือนจึงบอกแก่โอรสองค์อื่นๆ โอรสทั้งสามอาสาไปตามหาภูริทัตโดยให้แยกกันไป สุทัสนะโอรสองค์ใหญ่ให้อริฏฐะไปตามที่เทวโลก ให้สุโภคะไปทางป่าหิมพานต์และมหานทีทั้ง 5 แห่ง ส่วนตนจะไปโลกมนุษย์โดยแปลงเป็นดาบส ภูริทัตมีน้องสาวต่างมารดาตนหนึ่งชื่ออัจจิมุขี* นางรักภูริทัตมากจึงขอไปกับสุทัสนะด้วย นางแปลงตัวเป็นลูกเขียดนอนไปในชฎาของสุทัสนะ สุทัสนะขึ้นไปตรงที่ซึ่งภูริทัตรักษาอุโบสถอยู่ได้เห็นรอยเลือด ก็รู้ว่าถูกจับไป จึงตามไปจนถึงหมู่บ้านที่พราหมณ์พานาคไปแสดงครั้งแรก แล้วก็ถามต่อๆ ไปจนไปถึงประตูพระราชฐาน
พราหมณ์เตรียมการแสดงของนาค เปิดฝากระโปรงที่ขังภูริทัต ภูริทัตเห็นสุทัสนะพี่ชายก็เลื้อยไปหา ซบเศียรลงที่หลังบาทของสุทัสนะ แล้วทั้งสองพากันร้องไห้ คนที่อยู่ใกล้ๆ ถอยหนีเหลือแต่สุทัสนะผู้เดียว พราหมณ์เข้าใจว่าสุทัสนะถูกพญานาคกัดจึงเข้าไปถาม สุทัสนะตอบว่านาคตัวนี้มีพิษไม่พอที่จะกัดตนและตนไม่กลัวหมองูเลย พราหมณ์โกรธ บริภาษสุทัสนะ สุทัสนะจึงท้าให้สู้กันโดยให้พราหมณ์ใช้นาค ส่วนตนจะใช้ลูกเขียดต่อสู้ พราหมณ์ท้าพนันด้วยเดิมพัน 5,000 สุทัสนะรับพนันแล้วเข้าไปในพระราชนิเวศน์เข้าเฝ้าพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นมาตุลา (ลุง) โดยมิได้บอกว่าตนเป็นหลาน แล้วขอให้ทรงประกันทรัพย์ 5,000 ตนจะกำจัดพราหมณ์ด้วยลูกเขียดแล้วเชิญพระราชาไปทอดพระเนตร สุทัสนะกล่าวว่าพราหมณ์หลอกลวงมหาชน เอาทรัพย์เพราะนาคนี้ไม่มีพิษ แล้วสุทัสนะก็ให้นางอัจจิมุขีกัดพราหมณ์ นางเปล่งเสียงในชฎา 3 ครั้ง โดดลงมาที่ฝ่ามือสุทัสนะแล้วคายพิษออก 3 หยด สุทัสนะบอกว่าเมืองนี้จะพินาศถ้าหยดพิษลงบนแผ่นดิน บนอากาศ หรือในน้ำ พระราชาจึงถามวิธีแก้ สุทัสนะให้ขุดบ่อเรียงต่อๆ กันไป 3 บ่อ บ่อแรกบรรจุยาให้เต็ม บ่อที่ 2 บรรจุมูลโค บ่อที่ 3 บรรจุยาทิพย์ แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อที่ 1 เกิดควันแล้วลุกเป็นเปลวไฟ ลามต่อไปจนถึงบ่อที่ 3 ไฟจึงดับ พราหมณ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้บ่อถูกไอควันพิษกลายเป็นโรคเรื้อนด่าง พราหมณ์ตกใจกลัวจะปล่อยพญานาค ภูริทัตได้ยินก็ออกจากกระโปรง นิรมิตตนเป็นมนุษย์ทรงเครื่องประดับงามราวเทวราช สุทัสนะและนางอัจจิมุขีในร่างมนุษย์ก็มายืนด้วยแล้วทูลว่าตนทั้งสามเป็นลูกของนางสมุททชา ภูริทัตเล่าเรื่องแล้วแสดงธรรมต่อพระมาตุลา นาคทั้งสามก็กลับไปนาคพิภพ
ส่วนสุโภคะน้องของภูริทัตเที่ยวค้นหาภูริทัตไปทั่วหิมพานต์ผ่านแม่น้ำต่างๆ จนมาถึงแม่น้ำยมุนา ฝ่ายพราหมณ์เนสาทเห็นพราหมณ์ผู้รู้มนตร์เป็นโรคเรื้อนก็รู้ว่าเป็นเพราะทำให้ภูริทัตลำบาก ตนก็ทำบาปเช่นกันฉะนั้นจะต้องไปทำพิธีลอยบาปที่ท่าปยาค แม่น้ำยมุนา จึงไปที่ท่าน้ำนั้นแล้วออกวาจาว่าตนได้ประทุษร้ายมิตรคือภูริทัต ดังนั้นตนจะลอยบาปนั้นไปเสีย นาคสุโภคะได้ยินจึงเอาหางพันเท้าทั้งสองข้างของพราหมณ์เนสาทลากลงไปในน้ำ พอจวนจะขาดใจก็หย่อนให้หน่อยหนึ่งแล้วก็ลากให้จมลงไปอีก ทรมานเช่นนี้อยู่หลายครั้ง สุโภคะบอกว่าตนเป็นใครแล้วพาไปนาคพิภพจนถึงปราสาทของภูริทัต อริฏฐะซึ่งชาติก่อนเป็นพราหมณ์บูชายัญห้ามไม่ให้สุโภคะทำร้ายพราหมณ์ แล้วสรรเสริญคุณของพราหมณ์ นาคทั้งหลายได้ฟังก็พลอยเชื่อผิดตามไปด้วย ภูริทัตเห็นว่าอริฏฐะสรรเสริญสิ่งที่ผิด จึงให้นาคทั้งหลายประชุมกัน แล้วบอกว่าการบูชายัญด้วยวิธีเวทของพราหมณ์ไม่ใช่สิ่งประเสริฐ ไม่ใช่ทางสวรรค์ แล้วภูริทัตก็สั่งให้นำพราหมณ์เนสาทออกไปจากนาคพิภพ ภูริทัตโพธิสัตว์รักษาศีลอยู่ตลอดชีวิต เมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปสู่สวรรค์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory