TLD-003-3240
มหาชนก (ชื่อตัวละคร)
มหาชนกชาดก นิบาตชาดก
มหาชนกเป็นตัวละครในเรื่องมหาชนกชาดก มหานิบาต ในนิบาตชาดก เป็นพระโพธิสัตว์
ในอดีตกาลพระราชาทรงนามมหาชนกราช*ครองเมืองมิถิลา* แคว้นวิเทหะ* มีโอรส 2 องค์ คืออริฏฐชนก*และโปลชนก* อริฏฐชนกเป็นอุปราช ส่วนโปลชนกเป็นเสนาบดี เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอริฏฐชนกทรงครองราชย์ และตั้งพระอนุชาโปลชนกเป็นอุปราช อำมาตย์ผู้หนึ่งทูลพระราชาอยู่เนืองๆ ว่าอุปราชคิดจะปลงพระชนม์ พระอริฏฐชนกทรงเชื่อสั่งจองจำพระอนุชา โปลชนกจึงตั้งสัตยาธิษฐานว่าถ้าพระองค์มิได้คิดก่อเวรต่อพระเชษฐาขอให้เครื่องจองจำจงหลุดจากพระวรกาย และประตูที่คุมขังจงเปิด ทันใดนั้นเครื่องพันธนาการก็หักเป็นท่อนๆ และประตูเปิดออก โปลชนกเสด็จออกไปอยู่ที่ปัจจันตคาม (หมู่บ้านชายแดน) ราษฎรในบริเวณนั้นจำได้ก็พากันบำรุงพระองค์ พระโปลชนกก็มีบริวารมากขึ้น และมีอำนาจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และทรงคิดว่าพระองค์มิได้เคยคิดก่อเวรกับพระเชษฐา แต่บัดนี้พระองค์จะก่อเวรแล้ว ทรงประชุมพล ยกพลมาตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ทหารในเมืองมิถิลารู้ว่าพระโปลชนกยกพลมาก็พากันไปเข้ากับพระโปลชนก แม้ชาวเมืองก็พากันไปเข้าฝ่ายพระโปลชนกเป็นอันมาก แล้วโปลชนกก็ส่งสารไปถึงพระเจ้าอริฏฐชนกว่าตนมิได้ก่อเวรก่อน แต่บัดนี้จะก่อเวรแล้ว จะให้เศวตฉัตรแต่โดยดีหรือจะสู้รบกัน พระเจ้าอริฏฐชนกได้รับสารแล้วก็ตกลงพระทัยว่าจะรบ จึงตรัสเรียกมเหสีซึ่งกำลังทรงครรภ์อยู่มาสั่งว่าให้รักษาครรภ์ให้ดี พระองค์เองไม่ทรงทราบว่าการรบครั้งนี้จะชนะหรือแพ้
ในการต่อสู้กันพระอริฏฐชนกสิ้นพระชนม์ในที่รบ เมื่อชาวเมืองรู้ก็เกิดโกลาหลไปทั่ว พระมเหสีรู้ข่าวพระสวามีสิ้นพระชนม์จึงจัดทอง แก้วมณี และข้าวสารลงกระเช้า ปลอมพระองค์ออกไปจากเมืองมิถิลา เสด็จออกจากเมืองทางทิศอุดร พระนางไม่รู้จักทางเพราะไม่เคยเสด็จไปไหน จึงประทับที่ศาลาแห่งหนึ่งแล้วถามทางไปเมืองกาลจัมปากะ อานุภาพของพระโพธิสัตว์ในครรภ์ทำให้ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ต้องลงมาช่วย ท้าวสักกะนิรมิตเกวียนพร้อมเตียงและเครื่องใช้ต่างๆ ไว้ในเกวียน แปลงพระองค์เป็นคนแก่ขับเกวียนมาหยุดที่ศาลาที่พระมเหสีประทับอยู่ รับพระนางไปส่งที่เมืองกาลจัมปากะ เมื่อไปถึงพระอินทร์แปลงก็ลาไป พระมเหสีไปประทับพักอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่งมีมาณพ 500 เป็นบริวารมาอาบน้ำ พราหมณ์เห็นพระนางมีรูปโฉมงดงาม ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ในพระครรภ์ทำให้พราหมณ์นึกรักนางเหมือนน้องสาวจึงเข้าไปถามความเป็นมาของนาง พระมเหสีตอบไปตามจริงทุกประการ พราหมณ์จึงถามว่ามีญาติอยู่ในเมืองนี้หรือไม่ เมื่อพระนางตอบว่าไม่มี พราหมณ์จึงบอกว่าตนจะรับดูแลพระนางเหมือนน้องสาว แล้วบอกให้นางจับเท้าของตนรำพัน พราหมณ์และพระนางต่างก็ร้องไห้รำพันทำทีว่าพี่น้องจากกันไปนานแล้วได้มาพบกัน พราหมณ์ก็บอกกับทุกคนว่านางนี้เป็นน้องสาวของตนที่พลัดพรากกันไปนาน แล้วพามาอยู่ที่บ้าน
ต่อมานางประสูติโอรสตั้งชื่อว่ามหาชนกเหมือนพระอัยกา มหาชนกกุมารมีลักษณะดี มีกำลังมาก เมื่อเล่นกับเด็กๆ บางทีตีเด็กอื่นๆ เด็กๆ ก็เรียกมหาชนกกุมารว่าบุตรหญิงม่าย มหาชนกกุมารจึงไปถามพระมารดาถึงเรื่องบิดาของตน พระมเหสีพยายามบ่ายเบี่ยง แต่มหาชนกคาดคั้นจนได้ความจริงทั้งหมด เมื่อพระชันษาได้ 16 ปี ทรงเรียนไตรเพทและศิลปศาสตร์ทั้งปวงได้สำเร็จ มหาชนกคิดที่จะไปชิงราชสมบัติคืน จึงทูลขอทรัพย์สินเป็นทุนค้าขาย เพื่อเป็นทุนไปชิงราชสมบัติคืน พระนางบอกว่ามีรัตนะ 3 อย่างคือแก้วมณี แก้วมุกดา และแก้ววิเชียร ซึ่งเป็นทุนทรัพย์เพียงพอจะไปชิงราชสมบัติได้ ไม่จำเป็นต้องไปค้าขาย แต่พระมหาชนกต้องการจะหาทรัพย์ด้วยตนเอง จึงขอประทานทรัพย์จากพระมารดาเพียงครึ่งหนึ่ง แล้วลาไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ
ในวันที่มหาชนกลงเรือไป พระเจ้าโปลชนกที่เมืองมิถิลาประชวรหนัก ส่วนมหาชนกอยู่ในเรือกับพ่อค้าอีกประมาณ 700 คน เมื่อเรือแล่นไปได้ 7 วันก็เกิดคลื่นขนาดใหญ่ เรือเริ่มแตกน้ำเข้าเรือ ผู้โดยสารทั้งหลายยกเว้นพระมหาชนกล้วนกลัวตาย พากันร้องไห้รำพัน กราบไหว้เทพเจ้าทั้งหลาย ส่วนพระมหาชนกไม่ร้องไห้ ไม่รำพัน ไม่ไหว้เทวดาใดๆ เมื่อรู้ว่าเรือจะจมก็เตรียมตัวกินน้ำตาลกรวดกับเนยให้อิ่ม ใช้ผ้า 2 ผืนชุบน้ำมันจนชุ่มนำมานุ่งให้มั่นคงแล้วขึ้นไปอยู่บนยอดเสากระโดง เมื่อเรือจมมหาชนกก็กระโดดจากเสากระโดงว่ายน้ำมุ่งหน้าไปทางทิศที่เมืองมิถิลาตั้งอยู่ ในวันนั้นพระเจ้าโปลชนกก็สิ้นพระชนม์
ส่วนมหาชนกว่ายน้ำด้วยความเพียรถึง 7 วันก็สังเกตเห็นว่าเป็นวันเพ็ญจึงสมาทานอุโบสถศีล ตามปกติท้าวโลกบาล*ทั้งสี่มอบให้นางเทพธิดามณีเมขลา*เป็นผู้ดูแลมหาสมุทร มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่ทำคุณประโยชน์ต่างๆ ให้รอดพ้นจากอันตรายในมหาสมุทร แต่นางเมขลามิได้ตรวจมหาสมุทรมาถึง 7 วันแล้ว เมื่อนางได้เห็นพระมหาชนกก็คิดได้ว่าถ้านางปล่อยให้พระมหาชนกสิ้นพระชนม์ นางจะมีความผิดจนเข้าเทพสมาคมไม่ได้ นางจึงปรากฏกายให้เห็นแล้วทดสอบพระมหาสัตว์ นางถามว่าแม้จะไม่เห็นฝั่ง มหาชนกก็ยังเพียรว่ายน้ำไปทำไม พระมหาชนกตอบว่าพระองค์ทรงเชื่ออานิสงส์แห่งความเพียร แม้ไม่เห็นฝั่งก็จะพยายามว่าย นางกล่าวต่อว่าว่ายน้ำมองไม่เห็นฝั่งเช่นนี้ย่อมเปล่าประโยชน์เพราะจะตายเสียก่อน พระมหาชนกตอบว่าพระองค์จะตั้งความเพียร แม้จะต้องตายก็จะพ้นครหา บุคคลที่ทำความเพียรนั้นแม้จะตายก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ คือไม่ถูกติเตียนจากญาติ เทวดา และบิดามารดา พระมหาชนกยืนยันว่าพระองค์จะตั้งความเพียรว่ายน้ำให้ถึงฝั่งให้จงได้ นางมณีเมขลาจึงถามว่าต้องการไปที่ไหน พระมหาชนกตอบว่าเมืองมิถิลา นางจึงช้อนองค์พระมหาชนกแล้วอุ้มไป พระมหาชนกก็หลับไป เทพธิดามณีเมขลาอุ้มพระมหาชนกมาวางบนแผ่นศิลาในสวนมะม่วง บอกให้เทพเจ้าในอุทยานคุ้มครองพระมหาชนกโพธิสัตว์แล้วกลับไป
เมื่อพระเจ้าโปลชนกสิ้นพระชนม์ พระองค์ไม่มีโอรส มีแต่ธิดาชื่อสิวลีเทวี* ก่อนจะสิ้นพระชนม์ทรงบอกอำมาตย์ว่าให้ถวายราชสมบัติแก่ผู้ที่สามารถทำให้พระธิดายินดีด้วยได้ หรือให้กับผู้ที่รู้หัวนอนของบัลลังก์สี่เหลี่ยม หรือผู้ที่สามารถยกธนูที่หนักเท่าแรงพันคนยกได้ หรือผู้ที่สามารถนำขุมทรัพย์ใหญ่ 16 แห่งออกมาให้เห็นได้ ถ้ามีบุคคลเช่นนั้นก็ให้มอบราชสมบัติแก่ผู้นั้น เหล่าอำมาตย์ปรึกษากันว่าใครจะทำให้พระธิดายินดี มีเสนาบดี อำมาตย์ผู้รักษาคลังมาให้พระธิดาลองปัญญาแต่ไม่มีใครสามารถทำให้พระธิดายินดีด้วยได้ อำมาตย์ก็ลองให้หาบุคคลที่สามารถในประการอื่นๆ เช่น ยกธนู นำขุมทรัพย์ 16 แห่งมาแสดง ก็ไม่มีใครสามารถ ปุโรหิตจึงปรึกษาเสนามาตย์ทั้งหลายแล้วตกลงกันว่าจะปล่อยราชรถไป จึงนำราชรถเทียมม้าสีดอกกุมุทประดิษฐานเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์แวดล้อมด้วยจตุรงคเสนาแล้วปล่อยไป
รถนั้นแล่นเข้าไปในอุทยานทำประทักษิณแผ่นศิลาที่พระมหาชนกบรรทมอยู่ แล้วก็หยุดอยู่ ณ ที่นั้น ปุโรหิตและอำมาตย์ใคร่รู้ว่าผู้ที่นอนอยู่นั้นจะมีปัญญาคู่ควรแก่เศวตฉัตรหรือไม่ จึงสั่งให้ประโคมดนตรีขึ้น ปุโรหิตทูลพระมหาชนกว่าขอให้รับราชสมบัติ พระมหาชนกเสด็จเข้าพระราชนิเวศน์ พระนางสิวลีทรงทดลองปัญญาแล้วพอพระทัย พระมหาชนกยังสามารถรู้หัวนอนของบัลลังก์สี่เหลี่ยม สามารถยกธนูที่หนักเท่าแรงพันคนยก และนำขุมทรัพย์ใหญ่ 16 แห่งออกมาให้เห็นได้ พระมหาชนกจึงได้อภิเษกเป็นกษัตริย์ พระมหาชนกโปรดให้สร้างโรงทาน 6 แห่ง เชิญพระมารดาและพราหมณ์ที่อุปการะมาจากเมืองกาลจัมปากะ ประชาราษฎร์ล้วนยินดีพร้อมใจกันมาเฝ้าพระองค์ เพราะได้ยินว่าทรงเฉลียวฉลาดและเป็นโอรสของพระเจ้าอริฏฐะ
เมื่อพระมหาชนกประทับบนพระราชอาสน์ใต้เศวตฉัตรก็ทรงนึกถึงความพยายามของพระองค์ที่ได้ทรงว่ายน้ำในมหาสมุทร ได้คิดว่าความเพียรเป็นสิ่งที่บุคคลพึงทำ ถ้าพระองค์ไม่ทำความเพียรก็จะไม่ได้ราชสมบัตินี้ พระมหาชนกครองราชสมบัติโดยธรรม ต่อมาพระนางสิวลีประสูติพระโอรสได้พระนามว่าทีฆาวุราชกุมาร* เมื่อเจริญวัยพระบิดาตั้งให้เป็นอุปราช ทรงครองราชสมบัติมา 7,000 ปี วันหนึ่งพระมหาชนกเสด็จประพาสอุทยาน ทอดพระเนตรมะม่วง 2 ต้น ต้นหนึ่งมีผล อีกต้นหนึ่งไม่มี เสวยมะม่วงผลหนึ่ง ทรงรู้สึกว่ามีรสเลิศ ทรงดำริว่าเมื่อเสด็จกลับจะเสวยอีก แล้วเสด็จเข้าอุทยาน คนอื่นๆ เห็นพระราชาเสวยมะม่วงแล้วก็เก็บมะม่วงกินกันจนหมดต้น กิ่งหัก ใบหล่นร่วง ต้นก็หัก ส่วนต้นที่ไม่มีผลยังแผ่กิ่งก้านอย่างสวยงาม เมื่อพระมหาชนกเห็นเช่นนั้นทรงดำริว่าราชสมบัติเหมือนกับต้นไม้ที่มีผล การบวชเหมือนต้นไม้ที่ไร้ผล พระองค์จะสละราชสมบัติออกบวช ดังนั้นทรงบำเพ็ญธรรมในตำหนักอย่างเคร่งครัด ทรงปรารถนาจะได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อบำเพ็ญธรรมได้ 4 เดือนก็คิดว่าจะเสด็จไปป่าหิมพานต์ ทั้งคำนึงว่าเมื่อใดจะได้ไปบวช
วันหนึ่งพระมหาชนกทรงนุ่งผ้าย้อมฝาด ปลงพระศกและพระมัสสุ ถือบาตรดินเสด็จจงกรมอยู่ในปราสาท รุ่งขึ้นก็เสด็จออกจากเมือง พระนางสีวลีมเหสีพาบริวารหญิง 700 คนมาวิงวอน ร้องไห้รำพันให้เสด็จกลับ ชาวเมืองก็เสียดายพระราชาผู้ทรงธรรม ต่างก็ร้องไห้ติดตามไป พระนางสีวลีแกล้งสั่งให้เสนาไปเผาเรือนเก่า ศาลาเก่าแล้วให้ไปทูลพระมหาชนกว่าไฟไหม้เมืองมิถิลา แต่พระองค์ก็เสด็จต่อไป นางทำอุบายสร้างเหตุการณ์ว่าโจรฆ่าชาวบ้านและปล้นเมือง พระองค์ก็ไม่กังวล เสด็จต่อไป คนเหล่านั้นก็ตามไปอีก ทรงถามว่าราชสมบัติเป็นของใคร เมื่อทูลว่าเป็นของพระองค์ ก็ทรงขีดเส้นแสดงสิทธิ์และห้ามข้ามเส้นตามเสด็จ คนเหล่านั้นก็นอนกลิ้งเกลือกจนรอยขีดลบไป แล้วตามเสด็จไปอีกเป็นหนทางถึง 60 โยชน์
ครั้งนั้นมีดาบสรูปหนึ่งชื่อนารท* บำเพ็ญฌานแล้วใช้ตาทิพย์ดูคนในชมพูทวีป เห็นพระมหาชนกถูกคนติดตามอยู่ จึงไปถวายโอวาทเพื่อให้ทรงมีความอุตสาหะว่า ขอให้ทรงยินดีในการบวชโดยไม่รู้หน่าย ขอให้เพียรบำเพ็ญพรหมวิหารต่อไป นอกจากนี้ยังมีพระฤๅษีชื่อมิคาชินะ*ออกจากสมาบัติเล็งเห็นพระมหาชนกก็สำแดงองค์ลอยอยู่กลางอากาศ ถวายโอวาทเพื่อให้เหล่าข้าราชบริพารกลับพระนคร แล้วถามเหตุผลที่จะทรงออกบวช เมื่อได้คำตอบแล้วทูลเตือนพระมหาชนกไม่ให้ประมาท เมื่อฤๅษีไปแล้วพระนางสีวลีทูลขอให้อภิเษกโอรสครองราชสมบัติก่อนแล้วจึงไปบวช มิฉะนั้นราษฎรไพร่พลจะตกใจ พระองค์กล่าวแก่ชาวเมืองว่าพระองค์สละทุกอย่างหมดแล้ว ทีฆาวุกุมารจะเป็นผู้ทำให้เมืองเจริญต่อไป นางก็ยังไม่ยอมกลับ พอตกค่ำนางให้ตั้งค่ายพักแรม พระมหาชนกประทับอยู่ใต้ร่มไม้ รุ่งขึ้นก็เสด็จไป นางและไพร่พลตามไปถึงเมืองถูนนคร มีชายคนหนึ่งซื้อเนื้อก้อนใหญ่มาเสียบไม้ ย่างสุกแล้วก็รอให้เย็น สุนัขตัวหนึ่งคาบก้อนเนื้อหนีไป ชายนั้นไล่ตามไม่ทันก็กลับบ้าน เมื่อพระมหาชนกและพระนางสีวลีเสด็จมาถึง สุนัขตกใจทิ้งเนื้อวิ่งหนีไป พระมหาชนกทรงเห็นว่าสุนัขทิ้งก้อนเนื้อนั้นแล้วและไม่มีเจ้าของ จัดเป็นอาหารที่เรียกว่าบังสุกุลบิณฑบาต พระองค์จึงปัดฝุ่นที่ก้อนเนื้อแล้วใส่ลงในบาตร นำไปพิจารณาแล้วจะเสวย พระนางสีวลีทรงรังเกียจว่าเนื้อนั้นเป็นเดนสุนัขจึงกล่าวตำหนิ พระมหาชนกตอบว่านางไม่รู้จักบิณฑบาตวิเศษนี้เพราะความเขลา แล้วก็เสวยราวกับอาหารอมตะ พระนางสีวลีตำหนิพระมหาชนกอีก พระมหาชนกกล่าวว่าอาหารนี้ไม่บกพร่องคือหาโทษมิได้ แล้วเสด็จไปถึงประตูเมืองถูนนคร มีเด็กวิ่งเล่นกันอยู่ เด็กหญิงคนหนึ่งใส่กำไลทั้ง 2 ข้อมือ ข้างหนึ่งมีกำไล 2 อันกระทบกันเกิดเสียง อีกข้างมีกำไลอันเดียวไม่มีเสียง เด็กหญิงเล่นกระด้งฝัดทรายอยู่ พระมหาชนกดำริว่าสตรีเป็นมลทินของนักบวช การที่นางสีวลีตามมานั้น คนก็จะติเตียนว่าพระองค์เป็นบรรพชิตแล้วยังไม่ละภรรยา ถ้าเด็กหญิงผู้นี้ฉลาดก็จะพูดให้นางกลับได้ พระองค์จะฟังคำพูดของเด็กเพื่อให้นางสีวลีได้คิด ทรงเข้าไปใกล้เด็กถามว่าทำไมกำไลข้างหนึ่งดังอีกข้างไม่ดัง เด็กหญิงตอบว่ากำไลอันเดียวนั้นไม่ส่งเสียง เหมือนปราชญ์สงบนิ่งอยู่ คนคนเดียวย่อมไม่รู้จะวิวาทกับผู้ใด กำไล 2 อันกระทบกันเกิดเสียงเหมือนคน 2 คนวิวาทกัน ฉะนั้นคนที่อยากจะขึ้นสวรรค์จึงควรอยู่คนเดียว
พระองค์จึงบอกพระนางสีวลีว่าพระองค์เป็นบรรพชิต นางเป็นสตรีตามมาจะทำให้เกิดครหาได้ เมื่อมาถึงทาง 2 แพร่ง ควรแยกกันไป และพระนางอย่าเรียกพระองค์ว่าเป็นสามี พระองค์จะไม่เรียกนางว่าเป็นมเหสีอีก พระนางบอกให้พระมหาชนกไปทางขวา ส่วนนางไปทางซ้าย ไปได้หน่อยหนึ่งก็ไม่อาจกลั้นความโศกได้จึงกลับมาอีก แล้วตามเสด็จไปอีก พระมหาชนกเสด็จไปบิณฑบาต เมื่อถึงบ้านช่างศรพระนางก็ตามไปอยู่อีกข้างหนึ่ง ขณะนั้นช่างศรกำลังลนลูกศร มีกระเบื้องถ่านไฟ ช่างชุบลูกศรในน้ำข้าวแล้วหลับตาข้างหนึ่งเพื่อเล็งดู ดัดให้ลูกศรตรง พระมหาชนกจึงรับสั่งถามช่างศรว่าเหตุใดจึงเพ่งและเล็งดูศรด้วยตาข้างเดียว นายช่างศรตอบว่าถ้าดูด้วยตาทั้งสองจะพร่ามองไม่เห็นที่คด ถ้าดูด้วยตาข้างเดียวจะเห็นชัดดัดให้ตรงได้ เหมือนคน 2 คนอยู่ด้วยกันจะแก่งแย่งกัน ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ต้องแย่ง เมื่อเป็นสมณะใคร่ไปสวรรค์ก็ควรอยู่ผู้เดียว พระมหาชนกก็ตรัสกับนางสีวลีอีกว่าแม้ช่างศรยังติเตียนได้ดังนั้น ขอให้นางแยกไป แต่พระนางและมหาชนข้าราชบริพารก็ยังตามเช่นเดิม จนเสด็จถึงป่าได้ทอดพระเนตรเห็นหญ้ามุงกระต่าย ทรงถอนต้นหญ้านั้นเรียกให้พระนางสีวลีมาดูหญ้าว่าหญ้านี้ไม่อยู่ในกอต่อไปอีกฉันใด พระองค์กับนางก็ไม่อาจจะอยู่ด้วยกันได้ฉันนั้น นางฟังแล้วเศร้าโศกมากจนถึงกับสลบ พระมหาชนกก็เสด็จเข้าป่าไป พวกตามเสด็จก็ช่วยกันเยียวยา เมื่อพระนางฟื้นขึ้นก็ถามหาพระมหาชนก แล้วช่วยกันติดตามก็ไม่พบ นางจึงให้สร้างเจดีย์ตรงที่พระมหาชนกประทับยืน ให้สร้างเจดีย์ตรงที่พระมหาชนกตรัสกับช่างศร ตรัสกับเด็กหญิง และที่ซึ่งเสวยเนื้อที่สุนัขทิ้ง พระนางกลับไปเมืองมิถิลาอภิเษกโอรสให้ครองเมือง แล้วพระนางก็บวชเป็นดาบสินีประทับอยู่ในอุทยาน บำเพ็ญจนได้บรรลุฌาน เมื่อสิ้นพระชนม์ได้ไปเกิดในพรหมโลก ส่วนพระโพธิสัตว์มหาชนกก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory