TLD-003-3254
มหานพสูร, ท้าว (ชื่อตัวละคร)
ท้าวมหานพสูรเป็นตัวละครในบทละครเรื่องวงศเทวราช เป็นอสูรมี 9 เศียร 16 กร ครองเมืองสมุทคีรี*ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำยมนา* มีธิดากับนางหิรัญมาลี*ชื่อบุศบง* และมีอนุชาชื่อท้าวสาตราสูร*
คืนหนึ่งท้าวมหานพสูรมีสุบินนิมิตว่าพระอินทร์*ทรงม้าสุริการ*ถือแก้วมณีมาประทานแล้วเหาะกลับไป ตนได้มอบแก้วมณีนั้นแก่ธิดา ครั้นตื่นขึ้นก็รู้สึกเสียดายแก้วมณีในฝัน จึงเรียกโหรมาทำนาย โหรทำนายว่าจะมีราชกุมารผู้มีฤทธิ์ยิ่งมาทำให้เดือดร้อนในตอนแรกแล้วจึงจะดีเมื่อภายหลัง ท้าวมหานพสูรจึงปรึกษาเหล่าเสนา ได้รับคำแนะนำว่าเหตุร้ายสามารถแก้ได้โดยให้ท้าวมหานพสูรเสี่ยงศรพรหมสิทธิ์ของพระอัยกามหาพรหมไปไว้บนยอดเขาหิรัญบรรพต*ซึ่งอยู่กลางแม่น้ำยมนา แล้วป่าวร้องให้กษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดนครส่งโอรสมายกศร ผู้ใดยกศรได้จะให้อภิเษกกับธิดาและมอบเมืองให้ครอง
ท้าวมหานพสูรออกเดินทางจากเมืองสมุทคีรีโดยทางเรือไปยังเขาหิรัญบรรพตพร้อมกับมเหสี ธิดา และเหล่าเสนา แล้วทำตามคำทูลของเหล่าเสนา ได้มีบรรดาโอรสกษัตริย์มายกศร แต่ไม่มีผู้ใดยกศรได้
ฝ่ายวงศเทวราช*เจ้าเมืองเนาวรัตนนคร*ขี่ม้าสุริการเหาะมากับสังขปัด*วานรทหารคู่ใจเห็นเมืองยักษ์ จึงให้สังขปัดไปสืบดูว่าเป็นเมืองของผู้ใด ได้ความว่าเป็นเมืองสมุทคีรีของท้าวมหานพสูร และที่เมืองนี้ได้จัดให้มีพิธียกศรเพื่อหาผู้อภิเษกสยุมพรกับธิดา แต่ยังไม่มีผู้ใดยกได้ วงศเทวราชจึงแปลงกายเป็นนางยักขินีสาวชื่อวงศวาด* และให้สังขปัดแปลงกายเป็นนางยักขินีสูงวัยชื่อพุทชาติ*เข้าไปในเมือง และได้เป็นนางกำนัลของนางบุศบง เมื่อแรกที่ท้าวมหานพสูรเห็นนางกำนัลใหม่ของนางบุศบงก็ยินดี แต่โหรทูลว่าทั้งสองเป็นชายแปลงมา ท้าวมหานพสูรกริ้วมาก หาว่าธิดาคบชู้สู่ชาย แม้นางหิรัญมาลีจะทูลอ้อนวอนขออภัยโทษให้ธิดา ท้าวมหานพสูรก็ไม่ยอม สั่งให้นำนางบุศบงไปถ่วงน้ำ และให้จับนางกำนัลแปลงทั้งสองไปประหาร แล่เนื้อเอาเกลือทา แล้วตัดหัวเสียบประจาน
ครั้นทหารจะมาจับ นางแปลงทั้งสองก็คืนกลับร่างเดิมและเหาะหนีไป เมื่อออกทะเลได้เห็นนางบุศบงนอนนิ่งอยู่ในเรืออสูร ก็คิดว่านางสิ้นชีวิต แต่เมื่อสังขปัดไปชิงนางมาได้จึงรู้ว่ายังไม่ตาย วงศเทวราชจึงพานางบุศบงไปไว้ที่เนาวรัตนนคร ท้าวมหานพสูรซึ่งรู้ข่าวจากเสนาอสูรว่านางบุศบงเสียชีวิตก่อนถูกถ่วงน้ำ แต่ศพนางถูกมนุษย์กับวานรชิงไปก็กริ้ว ให้เตรียมจัดทัพจะไปปราบ
ฝ่ายวงศเทวราชสั่งให้ท้าววิเรนทร*ขุนทหารร่างสาร แล้วให้ครุฑ*เป็นทูตถือสารไปหาท้าวมหานพสูรขอให้พานางบุศบงธิดามาถวาย มิฉะนั้นจะยกทัพมาทำสงคราม ครุฑนำสารไปถวายท้าวมหานพสูรโดยไม่ยอมบังคมไหว้ เมื่อรู้เนื้อความในสารท้าวมหานพสูรก็กริ้วสั่งให้จับครุฑ แต่ครุฑกลับฆ่าพลยักษ์ตายเกลื่อนและหักยอดพลับพลาที่ประทับ ทั้งยังจับจักรแก้วที่ท้าวมหานพสูรขว้างมากลับไปถวายวงศเทวราชได้ ท้าวมหานพสูรจะยกทัพออกรบ แต่ท้าวสาตราสูรอาสาออกไปสู้รบเอง และแนะนำให้ท้าวมหานพสูรมีสารไปถึงท้าวจัตุรัต*เจ้าเมืองจักรวาล*ซึ่งเป็นสหายให้ยกทัพมาช่วยทำสงคราม
ต่อมาเมื่อท้าวสาตราสูรและท้าวจัตุรัตเสียชีวิตในการทำศึกกับฝ่ายวงศเทวราช ท้าวมหานพสูรจึงปรึกษากับมเหสีว่าควรใช้มารยาสตรีเพื่อมิให้ต้องเสียไพร่พลอีก นางหิรัญมาลีจึงให้นางสุวรรณมาลี*มเหสีท้าวจัตุรัตแปลงเป็นนางบุศบง แล้วพานางแปลงไปถวายวงศเทวราช ฝ่ายวงศเทวราชก็หลงเชื่อ แต่สังขปัดได้พิสูจน์ความจริงว่าเป็นนางสุวรรณมาลีแปลงมา วงศเทวราชจึงให้สังขปัดพานางสุวรรณมาลีไปส่งคืนท้าวมหานพสูร ท้าวมหานพสูรสั่งทหารให้จับสังขปัด แต่สังขปัดกลับร่ายเวทเป็นถ่านเพลิงตกจากฟากฟ้าถูกเหล่าอสูรและเผาไหม้พลับพลา ท้าวมหานพสูรพานางหิรัญมาลีเหาะหนีเปลวไฟ สังขปัดเหาะตามยื้อยุดกรนางหิรัญมาลีกับท้าวมหานพสูร แต่ในที่สุดสังขปัดก็ร่ายเวทเป็น 4 พักตร์ 8 กร แล้วเสกตรีเพชรเป็นบ่วงนาค 3 เศียรมัดทั้งสองได้ แล้วพาไปเฝ้าวงศเทวราช
เมื่อเข้าเฝ้า ท้าวมหานพสูรให้นางหิรัญมาลีบังคมไหว้วงศเทวราช ส่วนตนเองก้มพักตร์ไม่ยอมทำความเคารพ วงศเทวราชถามถึงเหตุผล ท้าวมหานพสูรทูลว่าตนยังแคลงใจในฤทธิ์ของวงศเทวราช ขอให้ไปยกศรพรหมสิทธิ์ ถ้ายกได้ตนจึงจะยอมถวายบังคม และมอบเมืองสมุทคีรีให้ครอง ทั้งยังจะให้เมืองทั้งร้อยเอ็ดมาอ่อนน้อมด้วย
(บทบาทของท้าวมหานพสูรในฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดีมีเพียงเท่านี้ ต่อไปนี้เป็นบทบาทในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
หลังจากวงศเทวราชยกศรพรหมสิทธิ์ได้แล้วก็คร่ำครวญคิดถึงนางบุษบง (คือนางบุศบงในฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดี) สังขปัดจึงทูลให้ไปรับนางจากเนาวรัตนนคร ท้าวมหานพสูรรู้ว่าธิดายังมีชีวิตอยู่ก็ดีใจ อาสาไปรับนางเองโดยใช้บาลูนควัน* (โคมลอย) เป็นพาหนะ เมื่อได้พบกันท้าวมหานพสูรก็ขอโทษธิดาแล้วพานางกลับไปหาวงศเทวราช ครั้นวงศเทวราชจะจัดงานพิธีอภิเษกสยุมพรกับนางบุษบง ได้มอบหมายให้ท้าวมหานพสูรเป็นผู้จัดการต้อนรับแขกเมืองที่จะมาในงานพิธีอภิเษกสยุมพรตามโบราณราชประเพณี
หลังงานพิธีอภิเษกสยุมพรสังขปัดอาละวาดเผาเมืองเพื่อลักพากวินไวต์*มเหสีของพระเจ้าโยเสฟ*ไปอยู่ด้วย ทุกคนหนีไฟออกจากเมือง ท้าวมหานพสูร ครุฑ และท้าววิเรนทรพยายามตามหาวงศเทวราชแต่ไม่พบ ร่างกายทั้งสามถูกไฟไหม้ ท้าวมหานพสูรนั้น “กระเบื้องแตกถูกตาเกือบตักไษย จักษุประทุแตกออกไป ควักกล้ำกลืนไว้ด้วยเสียดาย” แต่ขุนทหารทั้งสามก็ยังดั้นด้นไปค้นหาวงศเทวราชตามเมืองต่าง ๆ จนในที่สุดได้พบกับม้าสุริการซึ่งพาวงศเทวราชเหาะหนีไฟ จนได้มาอาศัยอยู่กับพระธรรมภาณฤๅษี* สุริการพาทั้งสามไปเฝ้า วงศเทวราชได้ช่วยให้สามขุนทหารหายจากความพิกลพิการ และยังมีรูปลักษณ์ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ท้าวมหานพสูรมีลักษณะดังนี้
นพสูรเสียพระเนตรในกลางไฟ ก็กลับคืนดีได้ดังเดิมมา
ยังมิหนำซ้ำเกิดพระเนตรใหม่ เที่ยวติดเลอะเปรอะไปเปนนักหนา
ตามแก้มคางข้างจมูกมีลูกตา เหล่ส่อนไปมาด้วยฤทธิรณ
เก่าใหม่นับได้สามสิบหก เหมือนไฝไขว่ตกเกินเหตุผล
เมื่อวงศเทวราชจะตามหานางบุษบงที่จากกันตอนไฟไหม้ ได้ปลอมตัวเป็นตลกชาวป่าชื่อคงญวน* และให้บรรดาบริวารปลอมตัวเปลี่ยนชื่อด้วย ในครั้งนั้นท้าวมหานพสูรใช้ชื่อว่ามองยิน*ต่อมาเมื่อกลับถึงบ้านเมือง วงศเทวราชมอบเมืองสมุทคีรีคืนแก่ท้าวมหานพสูรประทานนามใหม่ว่าท้าวฉดึงสเนตร* แล้วเสด็จไปครองเมืองเนาวรัตนนครของพระองค์เอง
หลังจากเหตุร้ายในเมืองเนาวรัตนนครที่เกิดจากเปรตสังขปัดมาอาละวาดสงบลง วงศเทวราชสร้างตราอิสริยยศเพื่อปูนบำเหน็จแก่บรรดาขุนทหารและผู้ทำความดีความชอบ ได้มอบหมายให้ท้าวฉดึงสเนตรเป็นผู้พิจารณาว่าผู้ใดควรแก่เครื่องยศและความดีความชอบขั้นใด เมื่อทำหน้าที่เรียบร้อยแล้วท้าวฉดึงสเนตรก็กลับไปครองเมืองสมุทคีรี
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory