TLD-003-3303
มโหสถบัณฑิต 2 (ชื่อตัวละคร)
มโหสถชาดก นิบาตชาดก
มโหสถบัณฑิตเป็นตัวละครในเรื่องมโหสถชาดก มหานิบาต ในนิบาตชาดก เป็นพระโพธิสัตว์
ในอดีตกาลพระเจ้าวิเทหะ*ครองกรุงมิถิลา* ทรงมีบัณฑิต 4 คนชื่อเสนกะ ปุกกุสะ กามินทะ และเทวินทะ* ทำหน้าที่ถวายอรรถธรรม คืนหนึ่งพระราชาสุบินว่ามีกองไฟ 4 กองลุกโพลงขึ้นแล้วมีดวงไฟเล็กเท่าหิ่งห้อยตกลงกลางกองไฟทั้ง 4 เกิดแสงสว่างไปถึงพรหมโลก เสนกะบัณฑิตทูลว่าจะมีบัณฑิตคนที่ 5 ปฏิสนธิในวันนั้น
พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาปฏิสนธิในครรภ์ของนางสุมนาเทวี*ภรรยาเศรษฐีสิริวัฒกะ* มีผิวพรรณงามดุจทองคำ ท้าวสักกะ (พระอินทร์) เสด็จมาวางแท่งโอสถในมือของกุมาร เศรษฐีสิริวัฒกะป่วยปวดศีรษะมาถึง 7 ปี เมื่อนำแท่งโอสถมาฝนกับหินบดยาทาหน้าผาก โรคก็หาย แต่นั้นมาใครเจ็บป่วยก็มาขอยา เศรษฐีจึงตั้งชื่อบุตรว่ามโหสถ ในวันเดียวกันกับที่มโหสถเกิด มีเด็กชายอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพบุตรจากดาวดึงส์มาเกิดอีก 1,000 คน เด็กเหล่านั้นเป็นเพื่อนเล่นของมโหสถ เมื่อเด็กเหล่านั้นอายุได้ 7 ขวบ วันหนึ่งวิ่งหนีฝนชนกันบาดเจ็บ มโหสถคิดว่าควรทำศาลาไว้เป็นที่เล่น จึงบอกเพื่อนให้นำเงินมาคนละกหาปณะ แล้วนำมาสร้างศาลาขนาดใหญ่ พระเจ้าวิเทหะทรงทราบข่าวก็ทรงหารือกับบัณฑิตทั้งสี่ว่าจะเชิญบัณฑิตคนที่ 5 แต่เสนกะเกรงว่าจะมีคนฉลาดกว่าตนก็คัดค้าน พระราชาจึงรับสั่งให้อำมาตย์ไปคอยตรวจดูพฤติการณ์ของมโหสถ อำมาตย์สังเกตและรวบรวมพฤติการณ์ของมโหสถกุมารมาทูลพระราชาถึง 19 เรื่องด้วยกัน ใน 19 เรื่องนี้มีทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมโหสถช่วยตัดสิน เช่น เรื่องแย่งบุตร นางยักขินีพาบุตรของหญิงคนหนึ่งไปเพื่อจะกิน หญิงนั้นตามไปทันเกิดโต้เถียงกัน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเด็กเป็นบุตรของตน มโหสถกุมารสั่งให้ขีดรอยที่แผ่นดินให้เด็กนอนกลางรอยขีด ให้นางยักขินีจับมือเด็ก ให้หญิงมารดาจับที่เท้า แล้วสั่งให้ทั้งสองฝ่ายดึงไป ใครดึงได้ให้เอาเด็กไป มารดาเด็กปล่อยเท้าเด็กและยืนร้องไห้อยู่ จึงรู้ชัดว่าผู้ใดเป็นมารดา นางยักขินีก็สารภาพว่าจะนำเด็กไปกิน มโหสถกุมารสอนให้นางยักขินีถือเบญจศีล บางเรื่องพระราชาก็ทรงทดลองปัญญาของมโหสถ เช่น วันหนึ่งพระราชาจะทรงเล่นชิงช้าห้อยด้วยเชือกทราย (เชือกทำด้วยทราย) ทรงอ้างว่าเชือกทรายเก่าขาดเสียแล้ว ให้ชาวบ้านฟั่นเชือกทราย มาถวาย ถ้าส่งมาไม่ได้จะทรงปรับพันกหาปณะ ชาวบ้านมาบอกมโหสถ มโหสถเรียกชาวบ้านมา 2-3 คน ให้ไปทูลพระราชาว่าพวกตนไม่รู้ว่าเชือกมีขนาดเล็กใหญ่เท่าใด ดังนั้นจะขอประทานเชือกทรายเส้นเก่าสัก 1 คืบมาเป็นตัวอย่าง เมื่อชาวบ้านมาทูลพระราชาตามนั้น ได้ทรงทราบว่ามโหสถเป็นต้นคิดก็ทรงโสมนัส
พระเจ้าวิเทหะโปรดสติปัญญาของมโหสถจึงทรงรับมโหสถมารับราชการกับพระองค์ แม้เสนกะจะคัดค้าน แต่พระราชาก็ทรงขอมโหสถจากบิดามารดา จะทรงชุบเลี้ยงเสมือนโอรส เมื่อได้มโหสถมาแล้ว พระราชาก็ยังทดลองสติปัญญาของมโหสถต่อไป มโหสถแสดงปัญญาให้เป็นที่ประจักษ์จนเป็นที่โปรดปรานของพระราชา ทำให้บัณฑิตทั้งสี่ไม่พอใจ แต่ก็สู้ปัญญาของมโหสถไม่ได้ เมื่อมโหสถอายุได้ 16 ปี พระนางอุทุมพรเทวี*มเหสีของพระเจ้าวิเทหะจะจัดให้มโหสถวิวาห์ มโหสถขอเลือกภรรยาด้วยตนเอง มโหสถได้พบนางอมรเทวี*ธิดาเศรษฐี ทั้งสองต่างลองปัญญากัน ต่างพอใจในปัญญาของแต่ละฝ่าย พระนางอุทุมพรจึงจัดงานสมรสให้ พระนางทรงถือว่ามโหสถเป็นน้องชาย เนื่องจากนางเคยถูกพระเจ้าวิเทหะคาดโทษ แต่มโหสถช่วยทูลแก้ปัญหาให้ พระราชาจึงเข้าพระทัยนางและเทิดทูนนางว่าเป็นสตรีรัตนะ
บัณฑิตทั้งสี่ริษยามโหสถจึงสมคบกันทำอุบายขโมยพระราชทรัพย์แล้วจะใส่ร้ายว่ามโหสถเป็นผู้ขโมย เสนกะขโมยพระจุฬามณี (ปิ่น) ปุกกุสะลักสุวรรณมาลา กามินทะลักผ้ากัมพลคลุมบรรทม เทวินทะขโมยฉลองพระบาททองคำ แล้วแต่ละคนใช้นางทาสีของตนนำไปขายที่บ้านมโหสถ นางทาสีเดินไปเดินมาร้องขายอยู่หน้าบ้าน นางอมรเทวีเห็นผิดสังเกต จึงเรียกมาถาม และเมื่อจะซื้อก็ยกให้โดยไม่รับเงิน นางอมรเทวีถามชื่อและถามว่ามาจากบ้านใคร แล้วบันทึกไว้ว่าบัณฑิตชื่อใด นางทาสีชื่อใด นำสิ่งใดมาขายให้ตน บัณฑิตทั้งสี่ไปทูลพระราชาว่าราชาภรณ์ทั้งสี่อยู่ที่บ้านของมโหสถ และมโหสถนำไปใช้ พระราชากริ้วมโหสถ ตรัสสั่งให้จับ มโหสถรู้ตัวบอกให้นางอมรเทวีรู้แล้วปลอมตัวออกจากเมืองไปอยู่ชนบท ประกอบอาชีพปั้นหม้อ
บัณฑิตทั้งสี่รู้ว่ามโหสถบัณฑิตหนีไปแล้ว ต่างคนต่างส่งของไปให้นางอมรเทวีโดยไม่บอกกัน นางรับของไว้แล้วนัดเวลาบัณฑิตทั้งสี่ต่างเวลากัน นางสั่งทาสีให้ขุดหลุมหนึ่งล้อมรั้วไว้ เทคูถกับน้ำลงในหลุม ให้ปิดแผ่นกระดานยนต์ที่พื้นข้างบน ใช้เสื่อลำแพนปิด เสนกะมาหาเป็นคนแรก นางอมรเทวีบอกให้อาบน้ำเสียก่อน เมื่อเสนกะไปเหยียบบนแผ่นกระดานยนต์ก็ตกลงในหลุมคูถ บัณฑิตอีก 3 คนก็ตกลงในหลุมคูถเช่นเดียวกัน ทั้ง 4 คนรู้ว่าตนถูกอุบายก็อายไม่กล้าส่งเสียง อยู่ในหลุมนั้นตลอดคืน
รุ่งเช้านางอมรเทวีให้คนทั้งสี่จับเชือกสาวขึ้นมาจากหลุม ให้อาบน้ำ แล้วให้โกนผมโกนหนวด เอาข้าวสาร 1 ทะนานแช่น้ำ ตำละเอียด ทาให้ทั่วตัว แล้วเอาเศษนุ่นโรยทั่วตัว แล้วให้คนทั้งสี่นอนในกระชุมัดด้วยเสื่อลำแพน นางอมรเทวีนำราชาภรณ์ทั้ง 4 อย่างมาพร้อมบัณฑิตทั้งสี่ไปเฝ้าพระราชา เมื่อเปิดเสื่อลำแพนออก ทุกคนเห็นบัณฑิตทั้งสี่ก็กล่าวกันว่าเหมือนวานรเผือก นางอมรเทวีถวายพระราชทรัพย์คืนแล้วทูลว่าบัณฑิตคนใดขโมยอะไรและนำไปขายเมื่อใด นางถวายบันทึกพร้อมเครื่องราชาภรณ์ด้วย พระราชาไม่ตรัสอะไร ให้บัณฑิตทั้งสี่กลับบ้าน ไม่พอพระทัยที่มโหสถหนีไป
เทวดาผู้สิงอยู่ที่เศวตฉัตรปรารถนาจะสดับธรรมเทศนาของพระโพธิสัตว์ จึงจะทำให้มโหสถกลับมา คืนวันหนึ่งเทวดาแหวกฉัตรออกมาถามปัญหาพระเจ้าวิเทหะ 4 ข้อ พระเจ้าวิเทหะเรียกบัณฑิตทั้งสี่เข้ามาให้ตอบปัญหา แต่ไม่มีใครตอบได้ เทวดาบอกพระราชาให้ตามมโหสถมาตอบปัญหา พระราชาจึงให้อำมาตย์ไปตามหามโหสถ เมื่อมโหสถมาเฝ้า พระราชาก็ให้ตอบปัญหาของเทวดา มโหสถก็ตอบได้ถูกต้อง เป็นที่พอใจของเทวดาผู้รักษาเศวตฉัตร พระราชาก็พอพระทัย ประทานฐานันดรเศรษฐีแก่มโหสถบัณฑิต
บัณฑิตทั้งสี่เห็นว่ามโหสถมียศยิ่งใหญ่ขึ้นก็มีความทุกข์ จึงคิดอุบายจะไปทูลยุยงพระราชาให้เห็นว่ามโหสถเป็นศัตรู จึงพากันไปหามโหสถที่บ้านเพื่อถามปัญหาหลายข้อ คำถามข้อสุดท้ายคือ “ความลับของตนนั้นไม่ควรบอกใคร” บัณฑิตทั้งสี่ไปทูลพระราชาว่ามโหสถเป็นกบฏ ถ้าไม่ทรงเชื่อให้ทรงถามว่าความลับของเขาควรบอกแก่ใคร ถ้ามโหสถไม่เป็นกบฏก็จะบอกชื่อคนที่ตนบอกความลับ เมื่อบัณฑิตทั้งห้ามาเฝ้าพร้อมกัน พระราชาก็ทรงถามว่าเราควรบอกความลับแก่ใคร เสนกะทูลให้พระราชาบอกก่อน พระเจ้าวิเทหะตรัสว่าพระองค์จะบอกความลับแก่ภรรยา เสนกะทูลว่าตนจะบอกความลับแก่เพื่อน ปุกกุสะทูลว่าตนจะบอกแก่น้องชาย กามินทะจะเปิดเผยความลับแก่บุตร เทวินทะทูลว่าจะบอกความลับแก่มารดา แต่มโหสถทูลว่าความลับนั้นไม่ควรเปิดเผย สิ่งใดที่ยังทำไม่สำเร็จไม่ควรบอกใคร ต่อเมื่อสำเร็จตามความต้องการแล้วจึงบอกได้ พระราชาทรงฟังแล้วเห็นจริงตามที่บัณฑิตทั้งสี่ทูล จึงทอดพระเนตรหน้าของเสนกะ มโหสถรู้ทันทีว่าทั้งสี่คนมาทูลยุยงพระราชา จึงรีบทูลลากลับ และคิดว่าการที่บัณฑิตแต่ละคนบอกความลับแก่ใครนั้น น่าจะได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความลับไว้ มโหสถเคยสังเกตว่าบัณฑิตทั้งสี่เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้ว ชอบไปสนทนากันที่ถังข้าวใกล้ประตูวัง มโหสถจึงไปนอนใต้ถังข้าวนั้นและสั่งคนรับใช้ว่าเมื่อบัณฑิตทั้งสี่มานั่งคุยกันและกลับไปแล้ว ให้มายกถังข้าวขึ้นให้ตน
ฝ่ายพระราชาเชื่อคำยุยงของบัณฑิตทั้งสี่ก็ตกพระทัยและกลัวมโหสถ จึงทรงปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไร เสนกะทูลว่าต้องฆ่าเสียโดยไม่ให้รู้ตัว พระเจ้าวิเทหะประทานพระแสงขรรค์ให้ แล้วสั่งบัณฑิตทั้งสี่ว่าวันรุ่งขึ้นให้คอยที่ประตูวัง เมื่อมโหสถมาถึงให้ตัดศีรษะเสีย บัณฑิตทั้งสี่ก็ตกลงกันให้เสนกะเป็นคนลงมือฆ่า แล้วทั้ง 4 คนก็มานั่งสนทนากันที่ถังข้าวตามเคย เสนกะถามความลับของแต่ละคนว่าที่ได้บอกแก่ใครไปแล้วนั้นคืออะไร ทั้ง 4 คนคิดว่าไม่มีใครได้ยินจึงขยายความลับของตน เสนกะเล่าถึงหญิงแพศยานางหนึ่งซึ่งขณะนี้หายไป ตนได้ทำกิจของบุรุษกับนางในสวนไม้รัง แล้วฆ่านางเพราะอยากได้เครื่องประดับซึ่งเป็นของเก่า ตนได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง ปุกกุสะเล่าความลับของตนว่าเป็นโรคเรื้อนที่ขา ผู้รู้คือน้องชายของตนคนเดียว ปุกกุสะต้องทายา พันแผล ขาจึงนุ่ม พระราชาโปรดบรรทมที่ขาของตนบ่อยๆ กามินทะเล่าว่าวันพระข้างแรม ยักษ์ชื่อนรเทวะ*มาสิงตน ทำให้ร้องเหมือนสุนัขบ้า ตนบอกบุตร บุตรจึงจัดให้มีมหรสพนอกประตูเพื่อกลบเสียงร้องของตน เทวินทะบอกความลับของตนว่า ตนขัดแก้วมณีมงคลซึ่งท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ประทานแก่พระเจ้ากุศราช (พระบิดาของพระเจ้าวิเทหะ) แล้วตนก็ขโมยแก้วมณีนั้นมาให้มารดา เวลาเข้าเฝ้ามารดาก็จะเอาแก้วมณีนั้นมาให้ ด้วยอำนาจแก้วมณีสิริก็จะเข้าในตัวของตน แล้วจึงไปเข้าเฝ้า ทุกครั้งพระราชาจะตรัสกับตนก่อนตรัสกับผู้อื่น และประทานกหาปณะให้ตนทุกครั้ง ทั้งสี่คนเล่าความลับกันเสร็จแล้วก็เตือนกันว่าให้รีบไปฆ่ามโหสถแต่เช้า ฝ่ายมโหสถได้ฟังความลับของทั้ง 4 คน แล้วก็กลับบ้าน รอว่าพระนางอุทุมพรเทวีจะทรงส่งข่าวออกมาจากในวัง
ฝ่ายพระเจ้าวิเทหะเข้าที่บรรทมแล้วก็ทรงนึกถึงมโหสถว่า มโหสถนั้นได้เคยถวายงานพระองค์มาตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ ไม่เคยทำความเสียหายใดๆ เมื่อเทวดาถามปัญหา มโหสถก็ตอบให้ มิฉะนั้นพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์ บัดนี้พระองค์ประทานพระขรรค์ให้บัณฑิตทั้งสี่ไปฆ่ามโหสถ นับแต่วันรุ่งขึ้นพระองค์จะไม่ได้เห็นมโหสถอีก ทรงรำพึงแล้วก็โทมนัสโศกเศร้า พระนางอุทุมพรเทวีทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นจึงทูลถาม พระราชาก็ทรงเล่าว่าอาจารย์ทั้งสี่ยุว่ามโหสถจะเป็นกบฏ มโหสถจึงจะถูกฆ่าเพราะพระองค์ทรงสั่งไปแล้ว ทั้งๆ ที่มโหสถไม่มีความผิด พระนางอุทุมพรเทวีทรงส่งข่าวไปบอกมโหสถว่าจะถูกฆ่า ฉะนั้นรุ่งขึ้นอย่าเข้ามาเฝ้า
วันรุ่งขึ้นบัณฑิตทั้งสี่มารอฆ่ามโหสถ แต่มโหสถไม่มาก็เสียใจไปทูลพระราชา ฝ่ายมโหสถก็แต่งกายเต็มยศขึ้นรถไปเฝ้าพระราชา พระเจ้าวิเทหะให้เปิดพระแกลทอดพระเนตรมโหสถ เมื่อมโหสถถวายความเคารพก็ทรงระลึกได้ว่ามโหสถไม่ใช่ศัตรูของพระองค์ จึงทรงเรียกให้เข้าเฝ้า แล้วทรงถามว่าเพราะเหตุใดจึงรีบกลับบ้าน และในวันนี้เหตุใดจึงมาช้า ได้ฟังอะไรมาบ้าง มโหสถจึงทูลความลับของบัณฑิตเหล่านั้นทีละคน พระราชารับสั่งให้จำบัณฑิตทั้งสี่ในเรือนจำ มโหสถจึงทูลว่าด้วยเหตุนี้ตนจึงทูลว่าไม่ควรบอกความลับแก่ผู้ใด พระราชากริ้วบัณฑิตทั้งสี่ที่ทูลว่ามโหสถเป็นผู้ปองร้ายพระองค์ ทรงสั่งให้ราชบุรุษนำบัณฑิตทั้งสี่ไปเฆี่ยนและสั่งประหารชีวิต มโหสถทูลว่าบัณฑิตเหล่านี้เป็นอำมาตย์เก่าของพระองค์ควรงดโทษไว้ ทรงอนุญาต แล้วยกคนทั้งสี่ให้เป็นทาสของมโหสถ มโหสถก็ยกให้เป็นไทในทันทีนั้น นับแต่นั้นมาบัณฑิตทั้งสี่ก็สิ้นพยศ
มโหสถทำหน้าที่ถวายอรรถธรรมแด่พระราชา และเตรียมป้องกันบ้านเมือง สั่งให้ทำกำแพงน้อยใหญ่ ค่ายคูประตูหอรบ ขุดสระโบกขรณีใหญ่ ฝังท่อน้ำในสระ นำบัวสายจากพระดาบสในหิมวันตประเทศมาปลูก ซ่อมแซมสถานที่ต่างๆ จัดเตรียมข้าวไว้เต็มฉาง มโหสถคอยไต่ถามพ่อค้าที่มาจากเมืองต่างๆ ว่า พระราชาของคนเหล่านั้นโปรดอะไร แล้วส่งของนั้นไปเป็นบรรณาการ โดยเรียกไพร่พลร้อยเอ็ดของตนให้นำเครื่องบรรณาการไปถวายกษัตริย์ร้อยเอ็ดพระนคร จารึกอักษรชื่อตนไว้ในของเหล่านั้น แต่ตั้งสัตยาธิษฐานว่ากิจของตนมีเมื่อใดจึงให้อักษรปรากฏ คนของมโหสถจึงแทรกซึมเข้าไปอยู่ในร้อยเอ็ดพระนคร ได้โอกาสทำราชการ โดยที่พระราชาร้อยเอ็ดพระนครไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนของมโหสถ ไพร่พลทั้งร้อยเอ็ดคนนี้จะคอยรายงานความเคลื่อนไหวของพระราชาเหล่านั้นให้มโหสถรู้ตลอดเวลา หากสืบความไม่ได้ก็จะบอกให้มโหสถส่งสุวโปดก (นกแก้ว) ไปสืบ ครั้งหนึ่งมโหสถส่งสุวโปดกไปตรวจชมพูทวีป นกไปถึงเมืองอุตตรปัญจาล*ซึ่งมีพระราชาชื่อจุลนีพรหมทัต* มีพราหมณ์ถวายอรรถธรรมชื่อเกวัฏ*
เกวัฏคิดจะทำให้พระเจ้าจุลนีเป็นอัครราชาในชมพูทวีป จึงไปทูลพระเจ้าจุลนีให้ยกทัพไปล้อมเมืองเล็กๆ ก่อน ขู่ให้พระราชาเมืองนั้นยอมแพ้แล้วก็ให้ครองเมืองอย่างเดิมแล้วให้มาเป็นพวก หากไม่ยอมก็จะสำเร็จโทษเสีย ค่อยๆ ยึดไปทีละเมือง ถ้ายึดครองได้หมดแล้วให้ชวนพระราชาทั้งร้อยเอ็ดมาดื่มสุราฉลองชัยชนะโดยใช้สุราเจือยาพิษ สุวโปดกได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วบินกลับมาเล่าให้มโหสถรู้ มโหสถจึงเตรียมการป้องกันเมืองด้วยการให้คนในสกุลเข็ญใจออกไปอยู่นอกเมือง ให้สกุลผู้มีอิสริยยศซึ่งอยู่ใกล้เขตชนบทให้เข้ามาอยู่ในเมืองและสะสมธัญญาหารไว้
พระเจ้าจุลนีทำตามคำแนะนำของเกวัฏยึดเมืองต่างๆ มาได้ตามลำดับ คนของมโหสถก็ส่งรายงานให้อย่างสม่ำเสมอ พระเจ้าจุลนีใช้เวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วันก็ยึดครองได้เกือบหมดชมพูทวีป เหลือเพียงเมืองมิถิลาเท่านั้น พระเจ้าจุลนีจึงเรียกกษัตริย์ร้อยเอ็ดนครนำทัพมาสมทบเพื่อตีเมืองมิถิลา พราหมณ์เกวัฏพยายามทัดทานเพราะรู้ว่าจะสู้มโหสถไม่ได้ แต่พระเจ้าจุลนีเข้าใจว่าพระองค์เป็นผู้สามารถไม่มีผู้ใดเทียบจึงยกทัพมา มโหสถรู้ล่วงหน้าจากคนสอดแนมของตนก็เตรียมการไว้ พระเจ้าจุลนียกทัพใหญ่มาล้อมเมืองไว้หลายชั้น ให้ไพร่พลถือคบเพลิงสว่างไปทั่ว พระเจ้าวิเทหะและบัณฑิตทั้งสี่ก็กลัว มโหสถปลอบพระทัยพระราชาว่าตนจะทำให้ศัตรูหนีไป แล้วไปจัดคนให้ตีกลองป่าวประกาศให้คนมาชมมหรสพ จัดการประโคมดนตรี ฟ้อนรำกันอย่างเอิกเกริก พระเจ้าจุลนีแปลกพระทัยที่เมืองมิถิลาถูกล้อมอยู่แน่นหนาเช่นนี้แล้ว ชาวเมืองยังไม่กลัว คนสอดแนมของมโหสถที่ปะปนอยู่กับคนของพระราชาก็ทูลว่าตนรู้จากชาวเมืองมิถิลาว่ากษัตริย์เมืองนี้ทรงปรารถนาตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้วอยากจะให้พระราชาในชมพูทวีปมาล้อมเมืองจะได้เล่นมหรสพฉลองและวันนี้ก็สมปรารถนาแล้ว พระเจ้าจุลนีกริ้วสั่งให้กองทัพทำลายเมือง แต่ไม่สามารถทำได้เพราะเมื่อเข้าใกล้ประตูเมืองก็ถูกทหารของมโหสถเทเปือกตม กรวด ทรายหินใส่เป็นอันมาก รวมทั้งยิงศร พุ่งหอกจนต้องถอยออกมา พระเจ้าจุลนีพยายามอยู่ 4-5 คืนก็ตีเมืองมิถิลาไม่สำเร็จ
พราหมณ์เกวัฏทูลให้ใช้แผนสิ้นน้ำคือปิดทางเข้าออกทั้งหมดเพื่อให้คนในเมืองขาดน้ำ คนสอดแนมของมโหสถก็ยิงธนูส่งข่าวเข้าไปในเมือง มโหสถก็ให้ปลูกบัวสายที่ได้มาจากป่าหิมพานต์ ปลูกในกระบอกไม้ไผ่ยาว 60 ศอก ทะลวงปล้องจนหมด เพียงคืนเดียวสายบัวก็ยาวตลอดลำไผ่ มโหสถให้ทหารโยนสายบัวออกมาให้ข้าศึก เมื่อพระเจ้าจุลนีได้ทอดพระเนตรก็ถามว่าบัวนี้เกิดที่ไหน มีผู้ทูลว่าเกิดในสระโบกขรณี พระเจ้าจุลนีก็ทรงดำริว่าแผนสิ้นน้ำใช้ไม่ได้เพราะเมืองมิถิลาจะไม่ขาดน้ำ พราหมณ์จึงเสนอให้ใช้แผนสิ้นข้าว คือพยายามตัดทางไม่ให้นำข้าวเข้าเมืองได้ มโหสถรู้จากคนสอดแนมเช่นเคย จึงให้เทโคลนบนกำแพงเมืองแล้วหว่านข้าวเปลือก ด้วยอำนาจของพระโพธิสัตว์ เพียงคืนเดียวข้าวก็ขึ้นเต็มกำแพงเมือง เกวัฏทูลกษัตริย์ว่าเมื่อยึดเมืองด้วยอุบายสิ้นข้าวไม่ได้ ก็ต้องใช้อุบายสิ้นฟืน แล้วก็ดักทางไม่ให้ลำเลียงฟืนเข้าเมือง มโหสถก็ให้ทำกองฟืนสูงกว่าต้นข้าวบนกำแพงเมือง แล้วคนของมโหสถยังโยนฟืนดุ้นใหญ่ๆ ให้ทหารของพระเจ้าจุลนีโดยบอกว่าให้นำไปหุงข้าว พระเจ้าจุลนีทรงเห็นว่าจะเอาชนะไม่ได้จึงดำริจะกลับเมือง แต่เกวัฏท้วงว่าไม่ควรจะยอมแพ้มโหสถ ตนยังมีอุบายอีกอย่างเรียกว่าธรรมยุทธ์ อธิบายว่าทหารไม่ต้องต่อสู้กัน ให้บัณฑิตของทั้งสองฝ่ายมาพบกัน ใครไหว้ก่อนคนนั้นแพ้ เกวัฏเชื่อว่าตนจะชนะเพราะมโหสถหนุ่มกว่าก็ย่อมจะไหว้ตนก่อน กองทัพพระเจ้าจุลนีก็จะชนะโดยไม่ต้องอายใคร
พระเจ้าจุลนีส่งสารไปถึงพระเจ้าวิเทหะเพื่อท้าให้มโหสถมาทำธรรมยุทธ์กับพราหมณ์เกวัฏ ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงทำธรรมยุทธ์กันที่ประตูเมืองด้านปัจจิมทิศ พระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนครก็ยืนคอยดู มโหสถทูลขอแก้วมณีจากพระเจ้าวิเทหะเพื่อจะนำไปลวงพราหมณ์ เมื่อถึงเวลามโหสถก็ถือแก้วมณีเดินตรงไปหาพราหมณ์เกวัฏ พราหมณ์ต่อว่าว่าไม่ให้บรรณาการแก่ตน มโหสถบอกว่าจะให้แก้วมณี แล้วโยนให้ แก้วมณีตกลงแทบเท้ามโหสถ พราหมณ์เกวัฏก้มลงจะเก็บ มโหสถจับคอเกวัฏไว้มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับชายผ้าไว้ไม่ยอมให้ลุกขึ้น แล้วโขกหน้าเกวัฏลงกับพื้นจนเลือดไหล แต่ประกาศว่าให้พราหมณ์ลุกขึ้น อย่ามาไหว้ตน คนทั้งหลายเข้าใจว่าเกวัฏไหว้มโหสถ กองทัพพระเจ้าพรหมทัตและพระราชาร้อยเอ็ดพระนครก็หนีไปเพราะคิดว่าฝ่ายตนพ่ายแพ้ เกวัฏพยายามจะบอกใครๆ ว่าตนไม่ได้ไหว้มโหสถ และเรียกให้กองทัพกลับมา แล้วให้กองทัพล้อมเมืองมิถิลาไว้ ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าออกได้ มโหสถจึงทำอุบายเลือกพราหมณ์ฉลาดคนหนึ่งชื่ออนุเกวัฏ จับมาตีหลังพอให้เป็นรอย มุ่นผมเป็นจุก 5 หย่อม โรยผงอิฐบนศีรษะให้ทัดดอกยี่โถ จับนั่งสาแหรกผูกเชือกโรยหย่อนลงไปนอกกำแพงเมือง เมื่อได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนีก็ทูลว่ามโหสถโกรธว่าตนเป็นผู้ทำลายความคิด จึงทูลกษัตริย์ให้ริบยศของตน อนุเกวัฏยุยงให้พระเจ้าจุลนีหนี เมื่อทรงหนีไป อนุเกวัฏก็ร้องบอกว่าพระราชาหนีไป เมื่อพระราชาหนีไปแล้วกษัตริย์ร้อยเอ็ดพระนครก็หนีตาม แล้วพวกทหารก็หนีไปด้วย
พระเจ้าจุลนีอยู่เมืองอุตตรปัญจาลพร้อมกับพระราชาร้อยเอ็ดพระนครได้ 1 ปี เกวัฏเห็นแผลที่หน้าผากตนก็คิดจะแก้แค้นมโหสถ จึงไปทูลพระราชาในห้องบรรทมว่าให้ถวายพระธิดาปัญจาลจันที*แก่พระเจ้าวิเทหะ เมื่อพระเจ้าวิเทหะกับมโหสถมาที่เมืองอุตตรปัญจาลก็ให้ฆ่าคนทั้งสองเสีย พระเจ้าจุลนีทรงเห็นชอบกับอุบายนี้ อุบายดังกล่าวรู้เฉพาะพระราชาและพราหมณ์กับนางนกสาลิกาที่ทรงเลี้ยงไว้ในห้องบรรทม พระเจ้าจุลนีทรงเริ่มแผนการโดยสั่งให้จินตกวีประพันธ์เพลงขับยอโฉมพระธิดา เพลงขับนั้นก็แพร่หลายไป พระเจ้าวิเทหะทรงได้ฟังเพลงขับนั้นและได้ทรงทราบว่าพระเจ้าจุลนีจะถวายธิดาแก่พระองค์ ก็พอพระทัยมาก พราหมณ์เกวัฏก็เดินทางมาเมืองมิถิลาเพื่อนัดหมายวันมงคล มโหสถรู้ข่าวก็สงสัยถามพวกสอดแนมที่วางไว้ในเมืองอุตตรปัญจาล คนเหล่านั้นบอกว่าพระราชาทรงสนทนากับเกวัฏในห้องบรรทม ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าความจริงคืออะไร ยกเว้นนางนกสาลิกาเท่านั้น
เกวัฏเดินทางมาเจริญไมตรีกับพระเจ้าวิเทหะ ทูลว่าพระเจ้าจุลนีมีพระประสงค์จะถวายธิดาแด่พระเจ้าวิเทหะเพราะทรงเห็นว่าทั้งชมพูทวีปมีเพียงพระเจ้าวิเทหะเท่านั้นที่เสมอกับพระองค์ พระเจ้าวิเทหะทรงปรึกษากับบัณฑิต บัณฑิตทั้งสี่สนับสนุน มโหสถพยายามทัดทาน ทูลว่าน่าจะเป็นอันตรายเพราะพระราชธิดานั้นเปรียบได้กับนางเนื้อ เป็นเหยื่อล่อ ส่วนพราหมณ์เป็นเหมือนนายพราน พระเจ้าวิเทหะกริ้วมโหสถว่าดูหมิ่นพระองค์ ทรงบริภาษมโหสถว่ารู้แต่กิจของบุตรคหบดี แต่ไม่รู้จักกิจที่เป็นมงคลของกษัตริย์ แล้วทรงขับมโหสถออกไปจากที่เฝ้า มโหสถนึกได้ว่าพระราชาองค์นี้ทรงเบาปัญญา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ หากเสด็จไปเมืองอุตตรปัญจาลก็จะถึงซึ่งความพินาศ แต่พระองค์ทรงมีอุปการคุณแก่ตน ดังนั้นตนก็จะต้องช่วยให้พระองค์ปลอดภัย มโหสถจึงส่งสุวโปดกล่วงหน้าไปก่อน ให้นกแก้วสุวโปดกไปหานางนกสาลิกาเพื่อถามความลับของพระเจ้าจุลนีและพราหมณ์เกวัฏ
นกแก้วสุวโปดกบินไปผูกมิตรกับนางนกสาลิกา และแต่งเรื่องลวงนางนกสาลิกาว่าตนมาจากเมืองอริฏฐะ เป็นนกที่พระเจ้าสีวีราชเลี้ยงไว้ ตนมีภรรยาเป็นนกสาลิกาถูกเหยี่ยวฆ่าไปแล้ว ตนโศกเศร้ามาก พระเจ้าสีวีราชจึงให้มาหานางนกสาลิกาที่เมืองอุตตรปัญจาลเพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่านางนกสาลิกานี้มีศีลาจารวัตรเช่นเดียวกับภรรยาของตน นางนกสาลิกาได้ฟังแล้วก็ยินดี แต่บอกว่าตนไม่แน่ใจว่านกสาลิกากับนกแก้วจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร นกสุวโปดกก็ชักนิยายเรื่องพระราชาได้หญิงจัณฑาล เรื่องดาบสได้นางกินรีเป็นภรรยา ทั้งนางนกสาลิกาและสุวโปดกต่างก็เป็นนก ทำไมจะร่วมสมกันไม่ได้ นางนกสาลิกาก็ยินดีร่วมสมกับสุวโปดก สุวโปดกแสร้งถามถึงเรื่องที่คนพูดกันว่า พระเจ้าจุลนีจะถวายธิดาแก่พระเจ้าวิเทหะนั้นจริงหรือไม่ นางนกสาลิกาบอกว่าสุวโปดกไม่ควรกล่าวถึงสิ่งอวมงคลในวันมงคล (นางหมายถึงวันสมรสของนางกับสุวโปดก) สุวโปดกจึงถามนางว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น นางนกสาลิกาจึงบอกว่าพระเจ้าจุลนีจะลวงพระเจ้าวิเทหะและมโหสถมาฆ่า สุวโปดกบอกกับนางว่าตนจะขอลาไปหาพระเจ้าสีวีราชเพื่อทูลว่าตนได้ภรรยาที่เหมาะสมแล้ว ฉะนั้นจะขอลาไปสัก 7 วัน สุวโปดกกลับไปเมืองมิถิลา แจ้งเรื่องให้มโหสถรู้
มโหสถตัดสินใจว่าตนจะเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเตรียมการให้พระเจ้าวิเทหะทรงกลับมาเมืองมิถิลาได้อย่างปลอดภัย จึงไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหะ ทูลว่าตนจะขอล่วงหน้าไปสร้างพระราชนิเวศน์ไว้ถวาย มโหสถเดินทางไปอุตตรปัญจาล เตรียมอุปกรณ์และช่างผู้ชำนาญในศิลปะต่างๆ พร้อมไพร่พลจำนวนมาก มโหสถให้สร้างบ้านไว้เป็นระยะในแต่ละโยชน์ ให้อำมาตย์อยู่ประจำบ้าน เตรียมช้าง ม้า และรถไว้เพื่อผลัดเปลี่ยนให้พระเจ้าวิเทหะทรงใช้ขณะเดินทางกลับ เมื่อไปถึงฝั่งแม่น้ำให้อำมาตย์อานันทะหาไม้สำหรับสร้างพระราชนิเวศน์และต่อเรือ 300 ลำ แล้วให้ซ่อนไว้ ให้สร้างอุโมงค์ตั้งแต่ริมฝั่งน้ำ ทำประตูเข้าอุโมงค์ มีสลักยนต์ปิดเปิดประตูอุโมงค์ และปิดเปิดไฟในอุโมงค์ แล้วเข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนี พระราชาพอพระทัย มโหสถทูลขอสถานที่สร้างพระราชนิเวศน์ให้พระเจ้าวิเทหะ พระเจ้าจุลนีก็ทรงอนุญาตให้เลือกสถานที่ได้ตามความพอใจ มโหสถเลือกที่นอกพระนคร สร้างพระราชนิเวศน์ ทำอย่างงดงาม ใช้เวลา 4 เดือน เมื่อเสร็จแล้วก็ส่งข่าวไปทูลเชิญพระเจ้าวิเทหะให้เสด็จมาเมืองอุตตรปัญจาล และให้ประทับในพระราชนิเวศน์ แล้วพระเจ้าวิเทหะส่งสารแสดงไมตรีไปถึงพระเจ้าจุลนี พระเจ้าจุลนีก็ทรงลวงว่าจะส่งพระธิดาไปให้ แต่พระองค์จัดให้พระมารดา พระมเหสี และพระธิดาปัญจาลจันทีและพระปัญจาลจันทะ*พระโอรส ให้อยู่ในตำหนักเดียวกัน มีบริวารแวดล้อมคอยป้องกัน แล้วพระเจ้าจุลนีก็เตรียมทำสงคราม ทรงสั่งให้พระราชาร้อยเอ็ดพระนครเตรียมรบโดยล้อมพระราชนิเวศน์ไว้ถึง 4 ชั้น ให้ทหารจุดคบเพลิง ฝ่ายมโหสถส่งคนของตน 300 คน ผ่านอุโมงค์ไปเชิญกษัตริย์ทั้ง 4 พระองค์มาประทับในห้องที่ตกแต่งไว้งดงามในอุโมงค์ พระเจ้าวิเทหะคาดว่าพระเจ้าจุลนีจะส่งพระธิดามาถวาย แต่ทรงเห็นคบเพลิงเป็นอันมากส่องสว่างไปทั่วก็แปลกพระทัย มโหสถจึงทูลว่าพระเจ้าจุลนีเตรียมการจะปลงพระชนม์พระเจ้าวิเทหะในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าวิเทหะตกพระทัย ทรงปรึกษาบัณฑิตทั้งสี่ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด มโหสถชี้ให้พระเจ้าวิเทหะเห็นโทษของการหลงอยู่ในกามคุณ แล้วสั่งให้เปิดประตูอุโมงค์ นำพระเจ้าวิเทหะและบริวารผ่านไปเพื่อจะลงเรือที่เตรียมไว้ คนของมโหสถจึงพาพระมารดา มเหสี ธิดา โอรสของพระเจ้าจุลนีให้ตามเสด็จพระเจ้าวิเทหะไปเมืองมิถิลาด้วย มโหสถขอให้พระเจ้าวิเทหะทรงปฏิญาณว่าจะปฏิบัติต่อพระราชวงศ์ทั้งสี่เสมือนเทวดา พระมารดา มเหสี และอนุชา พระเจ้าวิเทหะและบริวารรวมทั้งพระราชวงศ์ของพระเจ้าจุลนีก็กลับถึงมิถิลาโดยสวัสดิภาพ
ฝ่ายพระเจ้าจุลนีเข้าพระทัยว่าตนจะจับมโหสถและพระเจ้าวิเทหะมาฆ่าได้สมปรารถนา แต่มโหสถทูลให้ทรงทราบว่าตนได้ส่งเสด็จพระเจ้าวิเทหะกลับมิถิลาแล้ว แล้วส่งพระมารดา พระมเหสี พระธิดา และพระโอรสของพระเจ้าจุลนีไปด้วย และทูลอีกว่าถ้าตนได้กลับไปมิถิลา พระราชวงศ์เหล่านั้นก็จะได้กลับมาเช่นกัน พระเจ้าจุลนีจึงเลิกล้มความคิดที่จะฆ่ามโหสถ มโหสถทูลเชิญพระราชาและพระราชาร้อยเอ็ดพระนครเข้าไปชมอุโมงค์ เมื่อพระเจ้าจุลนีเสด็จพ้นอุโมงค์ มโหสถตามเสด็จออกมา แล้วก็ปิดไฟ ปิดอุโมงค์เสีย มโหสถหยิบดาบที่ตนฝังไว้ในทรายหน้าอุโมงค์ แล้วถามพระเจ้าจุลนีว่าราชสมบัติในชมพูดทวีปเป็นของใคร พระเจ้าจุลนีตรัสว่าเป็นของมโหสถ มโหสถทูลว่าตนจับดาบก็เพื่อสำแดงปัญญานุภาพเท่านั้น ทูลแล้วก็ขอพระราชทานอภัยโทษ พระราชาก็ประทานอภัย แล้วมโหสถและพระเจ้าจุลนีก็จับดาบสาบานว่าจะไม่ประทุษร้ายแก่กัน พระเจ้าจุลนีถามมโหสถว่า เมื่อมโหสถเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาเช่นนี้เหตุใดจึงไม่เอาราชสมบัติ มโหสถทูลว่าถ้าตนอยากได้สมบัติก็จะต้องฆ่าคนในชมพูทวีป แต่การฆ่าผู้อื่นเพื่อจะได้ยศนั้นปราชญ์ทั้งหลายไม่สรรเสริญ พระราชาขอให้ปล่อยคนของพระองค์ มโหสถจึงเปิดอุโมงค์และเปิดไฟ กษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดนครก็ยินดีว่าตนรอดชีวิตเพราะมโหสถ พระเจ้าจุลนีโปรดให้จัดงานเลี้ยง แล้วชวนให้มโหสถมาทำราชการกับพระองค์ โดยจะประทานเครื่องเลี้ยงชีพและทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า มโหสถทูลว่าผู้ที่ละทิ้งผู้ชุบเลี้ยงเพราะเห็นแก่ทรัพย์สินเป็นผู้ที่ควรแก่การถูกติเตียน ฉะนั้นตราบเท่าที่พระเจ้าวิเทหะยังทรงพระชนม์อยู่ ตนก็จะไม่ไปไหน พระเจ้าจุลนีจึงขอให้สัญญาว่าเมื่อใดที่พระราชาของมโหสถสิ้นพระชนม์ขอให้มโหสถมายังนครของพระองค์ มโหสถทูลว่าถ้าตนยังมีชีวิตอยู่ก็จะมา พระเจ้าจุลนีก็ประทานทรัพย์สิน ทาสี และภรรยาให้ มโหสถสัญญาว่าเมื่อพระธิดาอภิเษกสมรสแล้ว จะส่งพระราชวงศ์ทั้ง 3 พระองค์คืนมา นับแต่นั้นมาทั้ง 2 นครก็เป็นมิตรไมตรีต่อกัน
ต่อมาพระนางปัญจาลจันทีประสูติโอรส เมื่อพระโอรสมีชันษา 10 ปี พระเจ้าวิเทหะก็สิ้นพระชนม์ มโหสถจึงไปอยู่ที่อุตตรปัญจาลตามที่ได้สัญญาไว้กับพระเจ้าจุลนี พระราชาทรงโสมนัส ประทานทรัพย์สินให้มากมาย พระมเหสีนันทาเทวีทรงคุมแค้นว่ามโหสถทำให้พระนางลำบาก จึงสั่งหญิงในวัง 500 นาง ให้พยายามหาโทษอย่างใดอย่างหนึ่งของมโหสถ แล้วไปทูลยุยงให้พระราชากริ้ว ครั้งนั้นปริพาชิกาชื่อเภรี*เข้าไปฉันในวัง นางได้ยินกิตติศัพท์ของมโหสถ วันหนึ่งได้พบมโหสถ นางจึงทดสอบมโหสถด้วยการถามปัญหาโดยใช้มือ นางมองมโหสถแล้วแบมือออก หมายถึงว่าพระเจ้าจุลนีทรงนำมโหสถมาจากเมืองอื่น แล้วทรงบำรุงหรือไม่ มโหสถกำมือตอบ นางเภรีเข้าใจได้ว่าพระราชายังไม่ได้ประทานสิ่งที่สัญญาจะให้ นางเภรียกมือขึ้นลูบศีรษะของตน คือถามว่าถ้าลำบากทำไมไม่บวชเหมือนตน มโหสถตอบด้วยการลูบท้องของตน หมายความว่าตนมีบุตรภรรยาที่ต้องเลี้ยงดูมาก ฉะนั้นจึงยังไม่บวช แล้วทั้งสองก็ลากันไป พวกหญิงในวังที่คอยสังเกตอยู่ก็ไปทูลพระราชาว่ามโหสถและนางเภรีจะชิงราชสมบัติ นางเภรีแบมือจะทำให้ราชสมบัติอยู่ในเงื้อมมือตน มโหสถแสดงอาการจับดาบโดยกำมือก็คือจะตัดศีรษะพระราชา นางเภรีจับศีรษะตนก็คือถามว่าจะตัดศีรษะเท่านั้นหรือ มโหสถลูบท้องนั้นหมายให้รู้ว่าจะตัดกลางลำตัวด้วย ฉะนั้นพระองค์ควรฆ่ามโหสถเสียก่อน พระราชาฟังแล้วไม่เชื่อว่ามโหสถจะประทุษร้ายพระองค์ วันหนึ่งพระองค์จึงถามนางเภรี นางตอบตามที่เป็นจริง และเมื่อพระองค์ถามมโหสถก็ได้ความตรงกันกับนางเภรี พระราชาทรงเลื่อมใส จึงตั้งให้มโหสถเป็นเสนาบดี ประทานเกียรติยศใหญ่ให้ มโหสถอยากจะทดลองว่าพระราชามีพระทัยดีต่อตนโดยสุจริตใจหรือไม่ จึงไปขอร้องให้นางเภรีหาอุบายทำให้รู้ว่าพระราชาโปรดปรานตนจริงหรือไม่
วันหนึ่งนางเภรีคิดปัญหาชื่อว่าทกรักขสปัญหา ทูลถามพระเจ้าจุลนีว่าถ้าพระองค์ พระมารดา พระมเหสี พระอนุชา พระสหาย เกวัฏพราหมณ์ และมโหสถบัณฑิตลงเรือไปด้วยกัน ถูกผีเสื้อน้ำซึ่งกินมนุษย์จับได้ พระองค์จะประทานใครอย่างไรตามลำดับให้แก่ผีเสื้อน้ำ พระราชาตอบว่าจะให้พระมารดาก่อน พระมเหสี พระอนุชา พระสหาย เกวัฏพราหมณ์เป็นลำดับที่ 5 ให้พระองค์เองเป็นลำดับที่ 6 แต่จะไม่ประทานมโหสถ นางเภรีถามว่าที่ให้แต่ละคนเรียงลำดับไปนั้น แต่ละคนมีโทษอะไร พระราชาก็ทรงบรรยายโทษของแต่ละคนให้นางเภรีฟัง นางเภรีจึงถามอีกว่าถ้าเช่นนั้นมโหสถมีคุณอย่างไรพระราชาจึงยอมสละพระชนม์ชีพของพระองค์ พระเจ้าจุลนีทรงตอบว่าตั้งแต่มโหสถมารับราชการกับพระองค์ พระองค์ไม่เคยเห็นว่ามโหสถทำชั่วเลยแม้แต่น้อย ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ไปก็ทรงแน่พระทัยว่ามโหสถจะทำให้เหล่าโอรสและนัดดาของพระองค์เป็นสุข เพราะมโหสถนั้นย่อมเห็นประโยชน์ทั้งปวง
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory