TLD-003-3427
มาณพโพธิสัตว์ 2 (ชื่อตัวละคร)
ปทกุสลชาดก นิบาตชาดก
มาณพโพธิสัตว์เป็นตัวละครในเรื่องปทกุสลชาดก นวกนิบาต ในนิบาตชาดก เป็นพระโพธิสัตว์
ในสมัยพระเจ้าพรหมทัต*แห่งกรุงพาราณสี มเหสีของพระองค์ลอบเป็นชู้กับชายอื่น เมื่อพระสวามีตรัสถาม นางปฏิเสธทั้งยังสาบานว่าถ้านางล่วงประเวณีขอให้เกิดเป็นนางยักขินีที่มีหน้าเหมือนม้า หลังจากสิ้นพระชนม์นางจึงไปเกิดเป็นนางยักขินีหน้าม้าอาศัยอยู่ในถ้ำเชิงเขาแห่งหนึ่ง คอยจับมนุษย์ที่เดินทางผ่านบริเวณนั้นกินเป็นอาหาร วันหนึ่งมีพราหมณ์รูปงามผู้มั่งคั่งพร้อมด้วยบริวารเดินทางผ่านมา เมื่อนางยักขินีจะจับกินเป็นอาหาร บริวารพากันหนีไปหมด นางยักขินีนึกรักใคร่พราหมณ์รูปงาม จึงแบกขึ้นหลังพาไปอยู่ร่วมกันในถ้ำ
ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นบุตรของนางยักขินีกับพราหมณ์ กุมารมีรูปร่างงดงามเหมือนบิดา นางยักขินีเฝ้าปรนนิบัติเลี้ยงดูสามีและบุตรด้วยความรัก เมื่อจะออกไปหาอาหาร นางก็เอาแผ่นหินปิดปากถ้ำไว้ เมื่อโตขึ้นกุมารพระโพธิสัตว์มีพลกำลังกล้าแข็งเหมือนมารดา เวลามารดาไม่อยู่ก็เปิดประตูถ้ำออกมานั่งเล่นข้างนอกถ้ำได้โดยมารดาไม่รู้ ต่อมากุมารพระโพธิสัตว์รู้ว่ามารดามิใช่มนุษย์เพราะหน้าตาไม่เหมือนตนกับบิดาจึงชวนบิดาหนีตอนที่นางยักขินีออกไปหาอาหารในป่า เมื่อนางกลับมาไม่เห็นสามีและบุตรก็ตามหา อ้อนวอนพาทั้งสองกลับถ้ำ เป็นเช่นนี้ถึง 3 ครั้ง ในครั้งที่ 4 กุมารพระโพธิสัตว์ก็พาบิดาหนีมารดาไปจนพ้นเขตแดนที่อยู่ในอำนาจนางยักขินี เมื่อนางยักขินีกลับจากป่าก็ออกติดตาม วิงวอนบุตรให้พาบิดากลับด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง แต่เมื่อกุมารโพธิสัตว์ยืนยันที่จะไม่กลับ ด้วยความห่วงใยบุตร นางยักขินีจึงสอนจินดามนตร์ให้กุมารพระโพธิสัตว์ บอกว่าอานุภาพของมนตร์นี้จะทำให้สามารถจำรอยเท้าของผู้ที่หายตัวไปแม้นานถึง 12 ปีได้
จากนั้นนางยักขินีก็ร้องไห้คร่ำครวญจนอกแตกตาย หลังจากกุมารพระโพธิสัตว์และพราหมณ์จัดการศพนางยักขินีแล้วก็เดินทางไปเมืองพาราณสี ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต ทูลว่าตนมีความรู้เกี่ยวกับการตามรอยเท้าและสามารถจับผู้ที่ขโมยสิ่งของได้แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึง 12 ปี พระเจ้าพรหมทัตจึงโปรดให้กุมารพระโพธิสัตว์รับราชการด้วย โดยจะประทานเงินให้วันละ 1,000 กหาปณะทุกวันตามที่กุมารพระโพธิสัตว์ทูลขอ ฝ่ายปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตเห็นว่ากุมารพระโพธิสัตว์ได้แต่รับเงินวันละ 1,000 กหาปณะจากพระราชา แต่ยังไม่ได้แสดงศิลปวิทยาแต่อย่างไร จึงทูลขอให้พระเจ้าพรหมทัตทดลองวิชามาณพโพธิสัตว์ พระเจ้าพรหมทัตกับปุโรหิตให้พนักงานรักษารัตนมณีนำรัตนมณีมาให้แล้วลงจากปราสาทเดินวนเวียนกลับไปกลับมาทั้งภายในภายนอกราชวัง เอาบันไดพาดกำแพงเดินขึ้นลงจนสุดกำแพงแล้วเดินไปที่ฝั่งสระโบกขรณี เวียนขวา 3 รอบ วางรัตนมณีไว้ภายในสระ แล้วจึงกลับขึ้นไปบนปราสาท
ครั้นรุ่งเช้าพนักงานรักษารัตนมณีเอะอะโกลาหลว่ามีโจรมาลักรัตนมณีไปจากวัง พระเจ้าพรหมทัตทำประหนึ่งว่ามิได้ทรงรู้เรื่อง รับสั่งให้มาณพโพธิสัตว์ไปติดตามเอารัตนมณีคืนมาให้ได้ มาณพโพธิสัตว์ระลึกถึงนางยักขินีมารดา จึงร่ายจินดามนตร์ แล้วเดินตามรอยเท้าของพระเจ้าพรหมทัตและปุโรหิต นำรัตนมณีขึ้นจากสระโบกขรณีมาถวายได้ มาณพโพธิสัตว์ทูลพระเจ้าพรหมทัตว่าโจรที่ลักรัตนมณีไปมี 2 คน และทั้งสองเป็นบุคคลสำคัญซึ่งพระเจ้าพรหมทัตทรงรู้จักดี ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตทรงดำริว่ามาณพโพธิสัตว์อาจสามารถตามรอยเท้าและรู้ที่ซ่อนของโจรเท่านั้น แต่คงไม่สามารถจับโจรได้ จึงมีรับสั่งให้มาณพโพธิสัตว์จับตัวโจรมาถวาย มาณพโพธิสัตว์ทูลว่าโจรทั้งสองอยู่ไม่ไกล เมื่อพระราชาตรัสถามว่าใคร มาณพโพธิสัตว์ก็ทูลว่าผู้ใดปรารถนาจะเป็นโจรก็ผู้นั้นนั่นแหละเป็นโจร เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงได้รัตนมณีคืนมาแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องจับโจร พระเจ้าพรหมทัตคงยืนยันให้กุมารโพธิสัตว์จับโจรมาถวาย แต่มาณพโพธิสัตว์ประสงค์จะรักษาพระเกียรติยศของพระเจ้าพรหมทัตจึงไม่ทูลตอบว่าพระองค์นั่นแหละคือโจร ได้แต่ทูลตอบสื่อความหมายโดยนัยด้วยการเล่านิทานอุทาหรณ์ในอดีตถวายหลายเรื่อง แต่พระเจ้าพรหมทัตก็ยังทรงยืนยันที่จะให้ชี้ตัวโจรว่าเป็นใครให้ได้
ในที่สุดเมื่อมาณพโพธิสัตว์เห็นว่าพระเจ้าพรหมทัตไม่ทรงประสงค์จะให้ตนรักษาพระเกียรติยศ จึงป่าวร้องให้มหาชนมาประชุมพร้อมกันแล้วประกาศว่าพระเจ้าพรหมทัตและปุโรหิตคือโจรทั้งสองที่ขโมยรัตนมณี ฝ่ายมหาชนเห็นว่าแทนที่พระราชาและขุนนางผู้ใหญ่จะเป็นผู้ปกปักรักษาประชาชน กลับใส่ความกล่าวโทษประชาชนเสียเอง เช่นนี้จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างไร จึงช่วยกันเอาท่อนไม้และตะบองทุบตีพระเจ้าพรหมทัตและปุโรหิตจนสิ้นชีวิต แล้วพร้อมใจกันอภิเษกมาณพโพธิสัตว์ให้ขึ้นครองราชย์ในเมืองพาราณสีต่อไป
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory