TLD-003-3430
มาณวิกา (ชื่อตัวละคร)
อัณฑภูตชาดก นิบาตชาดก
มาณวิกาเป็นตัวละครในเรื่องอัณฑภูตชาดก เอกนิบาต ในนิบาตชาดก
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นโอรส เมื่อเจริญวัยเรียนสำเร็จศิลปศาสตร์ทั้งปวง พระบิดาสิ้นพระชนม์ โอรสก็ครองราชย์ต่อด้วยทศพิธราชธรรม พระราชาโพธิสัตว์พอพระทัยทรงสกากับปุโรหิตาจารย์ แม้ก่อนจะทรงเทลูกบาศก์ลงแผ่นกระดานก็จะทรงขับเพลงสกาก่อน มีเนื้อความว่า “แม่น้ำทั้งปวงมีกระแสอันไปคด ป่าทั้งปวงแล้วไปด้วยไม้ หญิงทั้งหลายโดยมากเมื่อได้ที่ลับแล้วมักทำกรรมอันลามก” แล้วก็ทรงสกาได้รับชัยชนะทุกครั้ง
ฝ่ายปุโรหิตาจารย์พ่ายแพ้สกาอยู่ตลอดจนทรัพย์สินร่อยหรอ เห็นว่าถ้ายังแข่งขันแบบนี้ต่อไป ทรัพย์ของตนจะหมดสิ้น จึงคิดว่าจะต้องหาหญิงที่ยังไม่เคยคบหาบุรุษมาเป็นภรรยาเพื่อจะลบล้างคำกล่าวของพระราชา เมื่อได้หญิงนั้นแล้วจึงจะไปเล่นสกากับพระราชา และเพื่อให้ได้หญิงที่บริสุทธิ์จริงๆ ปุโรหิตก็คิดจะนำทารกหญิงที่เพื่อเกิดจากครรภ์มารดามาเลี้ยงดูอย่างดีเพื่อให้นางมีตนเป็นสามีแต่ผู้เดียว แล้วจะไปเล่นสกาเพื่อจะได้ทรัพย์คืนมา
พราหมณ์ปุโรหิตพบหญิงเข็ญใจมีครรภ์คนหนึ่ง ปุโรหิตมีความรู้สามารถทำนายได้ว่านางจะคลอดบุตรหญิง จึงนำหญิงเข็ญใจนั้นมาเลี้ยง เมื่อคลอดแล้วปุโรหิตก็ให้ทรัพย์แลกเด็กหญิงนั้นไว้ เลี้ยงดูนางโดยไม่ให้เห็นชายอื่น ระหว่างนั้นปุโรหิตไม่ไปเล่นสกา รอจนนางมีวัยอันสมควรเป็นมาณวิกา (หญิงสาว) จึงตั้งให้เป็นภรรยา แล้วไปทูลเชิญพระราชาทรงสกา ก่อนทรงสกาพระราชาก็ขับเพลงสกาดังเดิม ทันใดนั้นปุโรหิตาจารย์ก็กล่าวต่อว่าเว้นไว้แต่นางมาณวิกาผู้เป็นภรรยาของตนเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาพราหมณ์ปุโรหิตก็ชนะสกาทุกครั้ง
พระราชาโพธิสัตว์ทรงทราบว่าภรรยาของปุโรหิตมีสามีเพียงคนเดียวจึงประทานทรัพย์แก่บุรุษนักเลงคนหนึ่งให้ไปทำลายศีลของนาง บุรุษผู้นั้นจัดซื้อธูปและเครื่องหอมต่างๆ ไปตั้งร้านขายใกล้บ้านพราหมณ์ปุโรหิต บ้านของปุโรหิตมี 7 ชั้น มีซุ้มประตู 7 แห่ง ผู้รักษาประตูล้วนเป็นหญิง คนที่จะเห็นภรรยาของปุโรหิตมีเพียง 2 คนคือหญิงรับใช้ผู้หนึ่งกับปุโรหิต เมื่อหญิงรับใช้ไปซื้อเครื่องหอม บุรุษนักเลงผู้นั้นก็แสร้งมากอดเท้าหญิงรับใช้ ซบหน้าร้องไห้รำพันว่านางเป็นมารดาตน หายไปไหนมาจึงเพิ่งได้พบกัน พรรคพวกของบุรุษนักเลงซึ่งนัดหมายกันไว้แล้วก็พากันกล่าวว่าบุรุษผู้นี้มีใบหน้า มือ เท้า เหมือนมารดา พูดกันบ่อยๆ เข้า หญิงรับใช้นั้นก็เริ่มเชื่อว่าบุรุษนักเลงนั้นเป็นบุตรของตน นางเล่าว่านางเป็นหญิงรับใช้ของภรรยาปุโรหิตซึ่งงามราวกับกินรี บุรุษนักเลงบอกหญิงนั้นว่าต่อไปนี้ไม่ต้องซื้อเครื่องหอมและดอกไม้ ให้มาเอาที่ร้านของตน แล้วก็ให้ของต่างๆ ไปเป็นอันมาก
ภรรยาของปุโรหิตถามหญิงรับใช้ว่าปุโรหิตให้เงินเพิ่มหรืออย่างไรจึงได้ของมามากเช่นนั้น หญิงรับใช้ตอบว่าบุตรชายของตนเป็นผู้ให้ของเหล่านั้น เมื่อได้ของมาโดยไม่ต้องซื้อ หญิงรับใช้ก็เก็บเงินค่าเครื่องหอมไว้เป็นของตนเอง 2-3 วันต่อมาบุรุษนักเลงแสร้งทำเป็นป่วย หญิงรับใช้เข้าไปถามอาการ บุรุษนักเลงแกล้งสารภาพว่า ตั้งแต่ตนได้ยินเรื่องราวของนางมาณวิกาภรรยาปุโรหิตแล้วก็เกิดปฏิพัทธ์หักห้ามใจไม่ได้ หากไม่ได้นางมาตนจะต้องสิ้นชีวิต หญิงรับใช้ปลอบโยนผู้ที่ตนเข้าใจว่าเป็นบุตรนั้นแล้วกลับไปหานางมาณวิกา บอกว่าบุตรชายของนางเกิดปฏิพัทธ์นางมาณวิกาจนไม่เป็นอันกินอันนอน ตรอมใจจนเป็นไข้ แล้วหารือว่าตนควรจะทำเช่นไร นางมาณวิกาบอกให้พาบุตรชายมาหานาง แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย นับแต่วันนั้นหญิงรับใช้ก็หาวิธีต่างๆ กลั่นแกล้งหญิงผู้รักษาประตูทุกคน จนทุกคนเบื่อหน่ายไม่อยากจะยุ่งด้วย
วันหนึ่งหญิงรับใช้ก็นำบุรุษนักเลงซ่อนในกระเช้าใส่มูลฝอยพาเข้าไปหานางมาณวิกาโดยที่หญิงเฝ้าประตูไม่สนใจเพราะไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย บุรุษนักเลงทำลายศีลของนางมาณวิกาได้สำเร็จ แล้วซ่อนตัวอยู่ในบ้านของปุโรหิต เมื่อปุโรหิตออกจากบ้านทั้งสองก็ร่วมอภิรมย์กัน 2-3 วันผ่านไป นางมาณวิกาบอกให้บุรุษนักเลงออกไปเสียบ้าง แต่บุรุษนักเลงบอกว่าอยากจะเขกศีรษะปุโรหิตเสียก่อน นางจึงให้บุรุษนักเลงซ่อนตัวอยู่ เมื่อปุโรหิตเข้ามาหา นางก็บอกว่าอยากให้ปุโรหิตดีดพิณแล้วนางจะฟ้อนรำเล่น เมื่อปุโรหิตดีดพิณ นางบอกว่าอายที่จะรำจึงขอใช้ผ้าผูกตาปุโรหิตเพื่อจะได้รำ แล้วขออนุญาตเขกศีรษะ 1 ที ปุโรหิตลุ่มหลงนางมากจึงอนุญาตให้นางเขกศีรษะ นางมาณวิกาส่งสัญญาณให้บุรุษนักเลงออกมา บุรุษนักเลงก็เข้าไปด้านหลังปุโรหิตแล้วถองศีรษะด้วยศอกอย่างแรงจนศีรษะโนขึ้นทันที ปุโรหิตเจ็บปวดมาก ขอจับมือนาง และสงสัยว่ามือนุ่มเช่นนั้นเหตุใดจึงถองได้แรงนัก
ส่วนบุรุษนักเลงไปซ่อนตัวตามเดิม นางดึงผ้าผูกตาปุโรหิตออก ใช้น้ำมันประคบศีรษะให้ เมื่อปุโรหิตออกจากบ้าน นางก็ให้บุรุษนักเลงซ่อนในกระเช้ามูลฝอยออกไปจากบ้าน บุรุษนักเลงกลับไปเฝ้าพระราชา ทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ พระราชาประทานรางวัลให้แล้วทรงชวนปุโรหิตให้มาเล่นสกา ทรงขับเพลงสกาก่อนเล่นอย่างเดิม ปุโรหิตไม่รู้ว่าศีลของภรรยานั้นขาดไปแล้ว จึงกล่าวเติมเช่นเดิมว่าเว้นไว้แต่นางมาณวิกา วันนั้นปุโรหิตก็แพ้สกา พระราชาจึงบอกว่าศีลของนางมาณวิกานั้นถูกทำลายแล้ว ทั้งๆ ที่ปุโรหิตเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เกิดจากครรภ์มารดา แต่ปุโรหิตมิได้รู้เท่าทันนาง พระราชารับสั่งแก่ปุโรหิตว่าบุรุษผู้มีปัญญาไม่ควรเชื่อถือภรรยาผู้ประพฤติเช่นนี้ พราหมณ์ปุโรหิตกลับบ้านไปถามภรรยา นางมาณวิกายืนยันว่านอกจากปุโรหิตแล้วนางไม่เคยสัมผัสมือชายใดเลย ดังนั้นนางจะขอลุยไฟพิสูจน์ความสัตย์ แล้วบอกหญิงรับใช้ให้ไปบอกบุรุษนักเลงว่าถ้าเห็นนางจะก้าวเข้ากองไฟ ให้มาจับข้อมือไว้
เมื่อถึงเวลาจะลุยไฟ บุรุษนักเลงก็วิ่งเข้าไปจับข้อมือนางไว้ นางมาณวิกาบอกให้บุรุษนั้นปล่อยข้อมือตน แล้วบอกสามีว่าสัจกิริยาของนางถูกทำลายเสียแล้วจึงไม่อาจลุยไฟได้ เพราะนางได้กระทำสัจกิริยาว่าไม่เคยสัมผัสมือบุรุษอื่นเว้นไว้แต่ปุโรหิต แต่วันนี้มีชายอื่นมาจับมือนางเสียแล้ว ปุโรหิตรู้ทันว่านางหลอกลวงจึงโบยตีนางแล้วไล่ออกจากบ้านไป
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory