TLD-003-3617
ยุขัน 2 (ชื่อตัวละคร)
ยุขันเป็นตัวละครในบทละครเรื่องยุขัน เป็นโอรสของท้าวอุรังยิด* มีเชษฐาชื่อยุดาหวัน* ยุขันมีมเหสี 2 องค์ คือ นางประวะลิ่ม* และนางบุษหรี*
เมื่อท้าวอุรังยิดได้อ่านตำราปักษีของปะตาระกาหลา*ก็ประสงค์จะได้นกหัสรังสี*ซึ่งอยู่ที่เมืองอุเรเซน* ยุขันอาสาเดินทางไปนำนกหัสรังสีมาถวายภายใน 3 ปี ท้าวอุรังยิดเกรงว่ายุขันจะมีอันตรายจึงให้ยุดาหวันเดินทางไปด้วย ยุขันและยุดาหวันอธิษฐานขอให้เทพเทวาคุ้มครองและดลใจให้ไปยังทิศที่ตั้งของเมืองอุเรเซน ปะตาระกาหลาจึงบันดาลให้เกิดเป็นทางที่มีน้ำและผลไม้อุดมสมบูรณ์นำไปสู่เมืองอุเรเซน และช่วยปกป้องไม่ให้สัตว์ป่าทำร้าย
ครั้นยุขันและยุดาหวันเดินทางพ้นเส้นทางที่ปะตาระกาหลาเนรมิตไว้ ก็เข้าแวะพักที่ริมหลักเสาประโคน (เสาบอกเขตแดน) ยุขันเห็นข้อความจารึกที่หลักศิลาก็รู้ว่าพระพรหม*สาปไว้ว่าผู้ที่จะเดินทางต่อไปจะต้องแยกทางกัน หากไปด้วยกัน 2 คน คนหนึ่งจะต้องตาย แต่หากไปเพียงลำพังจะได้พบฤๅษีรักขิต* จะได้ศรศิลป์ และเดินทางอย่างปลอดภัยไปจนถึงเมืองอุเรเซน ยุขันขอให้ยุดาหวันกลับเมืองอุรังยิด แต่ยุดาหวันเกรงว่าพระบิดาและพระมารดาจะตำหนิจึงเดินไปอีกทางหนึ่งแทน
เมื่อไปถึงอาศรมฤๅษีรักขิต ยุขันเข้าไปถามทางและขอเรียนวิชา พระฤๅษีรู้ว่ายุขันต้องพลัดกับเชษฐาก็สงสาร จึงชุบอนุชาให้เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ให้ชื่อว่า ลิขิต* จากนั้นชุบศรให้ยุขัน มอบพระขรรค์ให้ลิขิต แล้วชี้บอกทางไปเมืองอุเรเซน
ยุขันและลิขิตเดินทางไปถึงเมืองของยักษ์มัตตะริม* ไม่เห็นผู้คนในเมืองก็สงสัย เมื่อขึ้นไปบนปราสาท พบนางมะยุมา*มารดาบุญธรรมของมัตตะริม ก็ถามทางไปเมืองอุเรเซน นางรับจะไปถามมัตตะริมให้ แล้วพายุขันกับลิขิตไปซ่อนที่ชานดอกไม้
รุ่งขึ้นนางมะยุมาบอกให้ยุขันกับลิขิตเดินไปทางทิศอุดรแล้วจะพบยักษ์เฝ้าด่าน 3 ตน คือ อสุรปานัน* วายุกัน* และนันทสูร* เมื่อพ้นด่านที่ 3 ไปจะพบฝั่งมหาสมุทร ตรงข้ามมหาสมุทรเป็นแดนมนุษย์คือเมืองอุเรเซน แล้วนางมะยุมาก็มอบธำมรงค์เส้นผมของมัตตะริมให้ยุขัน พร้อมกำชับว่าเมื่อพบยักษ์รักษาด่านให้ถอดธำมรงค์ให้ยักษ์ดู ยักษ์จะช่วยส่งทั้งสองไปจนถึงฝั่งมหาสมุทร ยุขันและลิขิตทูลลาและให้สัญญาว่าจะกลับมาสนองคุณ
ยุขันและลิขิตเดินทางผ่านด่านของยักษ์ทั้งสามไปจนถึงต้นงิ้วริมมหาสมุทร ลูกนกอินทรีกระหายน้ำมากจึงขอให้ยุขันและลิขิตช่วยตักน้ำให้ เมื่อรู้ว่ายุขันกับลิขิตจะข้ามมหาสมุทรไปเมืองอุเรเซน ลูกนกจึงบอกว่าเมื่อแม่นกอินทรีกลับมาจะให้พาทั้งสองไปส่ง
แม่นกอินทรีพายุขันและลิขิตไปส่งที่ต้นไทรใกล้เมืองอุเรเซนและบอกว่าจะมารับในอีก 3 เดือน ยุขันและลิขิตเดินทางไปจนถึงอุทยานเมืองอุเรเซน พบตามะหะหรี่*กับยายมาลา*คนเฝ้าอุทยานจึงเข้าไปขออาศัยพักค้างคืน เมื่อรู้ว่าในเมืองกำลังมีงานสมโภชนกหัสรังสี ยุขันอยากไปเที่ยวชมงานเพื่อจะได้เห็นนกหัสรังสีและจะได้พบนางประวะลิ่มจึงขอให้ตามะหะหรี่พาไป
ยุขันและลิขิตปลอมเป็นกระฎุมพีตามตามะหะหรี่เข้าไปในเมือง เมื่อได้สบตานางประวะลิ่ม ยุขันก็หลงรักนาง ยุขันต้องการให้นางรู้ว่าตนเป็นเชื้อวงศ์กษัตริย์จึงชักซ่าโบะ (ผ้าคลุม) ขึ้นคลุมไหล่ และกรีดนิ้วให้แสงจากธำมรงค์ไปต้องนัยน์ตานาง นางจึงรู้ว่ายุขันเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์
เมื่อพระอาทิตย์ลับ ตามะหะหรี่เตือนให้กลับ แต่ยุขันไม่ยอมกลับ เฝ้าคร่ำครวญถึงนางประวะลิ่มอยู่ที่งานสมโภช ครั้นถึงอุทยาน ยายมาลาโกรธตามะหะหรี่ที่กลับมาช้า ทั้งคู่ทะเลาะกัน ยุขันจึงช่วยพูดให้ว่าที่กลับมาช้าเพราะรอตนอยู่ ยายมาลาหายโกรธเข้าครัวหุงหาอาหารออกมาให้ แล้วเชิญยุขันกับลิขิตไปพักที่ตำหนักในอุทยาน
ยุขันคิดถึงนางประวะลิ่มมากจึงบอกยายมาลาว่าจะร้อยมาลัยเป็นนาคเกี้ยวกระหวัดถวายนางประวะลิ่ม ให้ยายทูลว่ายายเป็นผู้ร้อยมาลัยเอง นางประวะลิ่มก็จะประทานรางวัลให้ เมื่อนางประวะลิ่มเห็นมาลัยก็สงสัยว่าไม่ใช่ฝีมือยายมาลา นางสันหยา*พี่เลี้ยงจึงขู่ถาม ยายมาลากลัวถูกลงโทษจึงทูลความจริง นางสันหยาเห็นมาลัยที่ร้อยมาเป็นนัยสื่อรักจึงแนะอุบายให้นางประวะลิ่มแกล้งทำเป็นกริ้วยายมาลา เอาแป้งขาวทาทั่วตัว แล้วขับยายมาลาให้กลับไปร้อยมาลัยมาถวายแก้ตัว
ยุขันเห็นยายมาลาถูกชโลมด้วยแป้งขาวกลับมาก็รู้ว่านางประวะลิ่มตอบรับไมตรีจึงปลอบยายแล้วรับว่าจะร้อยมาลัยให้นำไปถวายใหม่ ฝ่ายนางประวะลิ่มอยากรู้ว่าผู้ที่มาอาศัยอยู่ในอุทยานเป็นใครจึงให้นกหัสรังสีไปสืบข่าว ยุขันเขียนสารเล่าเรื่องราวของตนพร้อมมอบธำมรงค์ให้นกหัสรังสีนำกลับไป นางประวะลิ่มเขียนสารตอบพร้อมมอบสไบให้นกหัสรังสีนำไปให้ยุขัน ยุขันจึงเขียนสารเชิญนางมาชมอุทยาน แล้วให้ยายมาลาพาลิขิตไปถวายตัวเป็นพนักงานร้อยมาลัย
วันรุ่งขึ้นยุขันร้อยมาลัยเป็นรูปชายหนุ่มยืนอยู่ข้างบัญชร มีหญิงนางหนึ่งอยู่บนแท่นบรรทม ส่วนพี่เลี้ยงอยู่ข้างๆ และมีหนุ่มน้อยประนมกรอยู่ใกล้ๆ แล้วส่งให้ยายมาลานำไปถวายนางประวะลิ่ม นางประวะลิ่มรู้ว่ายุขันทำปริศนาว่าจะขอขึ้นตำหนัก จึงหารือนางสันหยาเพื่อหาวิธีให้ยุขันเข้ามาได้
นางสันหยาแนะให้ใช้มินหม้อทาทั่วตัวยายมาลาและสั่งให้ยายกลับไปบอกยุขันว่าให้ไปอยู่กับฤๅษีดาหลี*พระอาจารย์ของนางประวะลิ่ม ยุขันรู้ความหมายว่าให้รอถึงคืนเดือนมืดจึงบอกว่าจะรีบไปจากอุทยานทันทีเพื่อไม่ให้ยายถูกลงอาญา ก่อนไปยุขันถอดธำมรงค์ประทานเป็นรางวัลแก่ยายมาลา
ยุขันเดินทางไปขอเป็นศิษย์ฤๅษีดาหลี พระฤๅษีบวชให้ยุขันแล้วสอนศิลปศาสตร์ต่างๆ แก่ยุขัน ทั้งวิชากำบังกายล่องหน ผูกและแก้ผ้าพยนต์ และมนตร์จังงัง ต่อมาฤๅษีดาหลีจะเข้าเมืองไปเยี่ยมนางประวะลิ่มจึงชวนยุขันไปด้วย ครั้นถึงปราสาท ฤๅษีดาหลีบอกยุขันให้รออยู่ก่อน นางประวะลิ่มให้นางสันหยานิมนต์ฤๅษียุขันเข้าไป ยุขันกับนางประวะลิ่มจึงได้พบกันอีกครั้ง
เมื่อกลับถึงอาศรม ยุขันถามฤๅษีดาหลีถึงปริศนาที่นางประวะลิ่มแกล้งทำ พระฤๅษีบอกว่านางต้องการให้ยุขันไปพบในคืนเดือนมืด ยุขันจึงละเพศฤๅษีแล้วร่ายเวทกำบังกายเข้าไปในปราสาทของนางประวะลิ่ม ได้ร่วมอภิรมย์กับนางสันหยาแล้วจึงได้นางประวะลิ่มเป็นชายา
เมื่อครบกำหนด 3 เดือนที่นัดไว้กับแม่นกอินทรี ยุขันยังไม่อยากจากไป ลิขิตเตือนว่าหากไม่ยอมไปตามสัญญาแม่นกอินทรีจะโกรธ ยุขันจึงฝากลิขิตให้ช่วยดูแลนางประวะลิ่ม แล้วนำนกหัสรังสีออกจากเมืองไปด้วยความจำใจ
ยุขันขอให้แม่นกอินทรีพาไปส่งที่อาศรมของฤๅษีรักขิตเผื่อว่าจะได้พบยุดาหวัน พระฤๅษีชุบม้าอัสดรให้ยุขันขี่กลับเมืองอุรังยิด ระหว่างทางยุขันพบมะยุหงัด*พรานป่าที่รับอาสาท้าวปะรังศรี*เจ้าเมืองอุรังฆาร*ออกตามหานกหัสรังสี มะยุหงัดลวงยุขันว่าจะพาไปส่งที่เมืองอุรังยิดและเชิญชวนยุขันให้พักในอุทยานเมืองอุรังฆารเพื่อจะได้ชมโฉมนางบุษหรี*ธิดาท้าวปะรังศรี ยุขันหลงเชื่อจึงถูกท้าวปะรังศรีชิงนกหัสรังสี กริช ศร และม้าอัสดรไป ทั้งยังถูกกะปิหลัน*กับเหล่าเสนาของท้าวปะรังศรีจับมัดโยนทิ้งมหาสมุทร ยุขันอธิษฐานขอให้คุณอาจารย์ คุณบิดามารดา และปะตาระกาหลาช่วยให้พ้นภัย ปะตาระกาหลาสงสารจึงบันดาลให้คลื่นสงบ แล้วไล่ฝูงปลาไปให้ไกล ยุขันลอยอยู่ในมหาสมุทรได้ 3 วัน นายประมงเดินเรือผ่านมาช่วยไว้ได้
ยุขันแค้นท้าวปะรังศรีมากเพราะรู้ว่าเป็นมิตรของท้าวอุรังยิด จึงคิดจะกลับไปเกณฑ์ไพร่พลที่เมืองอุรังยิดเพื่อยกทัพมาตี นายประมงแนะให้ไปขอความช่วยเหลือจากเมืองฉะนะตัน*ซึ่งอยู่ใกล้กว่าและเป็นเมืองขึ้นของเมืองอุรังยิด เมื่อไปถึงเมืองฉะนะตัน ยุขันขอให้นายประมงกลับไปสืบข่าวความเคลื่อนไหวในเมืองอุรังฆารแล้วบอกว่าอีก 15 วันจะยกทัพตามไป
ท้าวตะรังอู*เจ้าเมืองฉะนะตันอาสาเป็นทัพหน้าไปออกรบ ครั้นถึงชายแดนเมืองอุรังฆารยุขันให้ตั้งค่าย เมื่อรู้จากนายประมงว่าท้าวปะรังศรีฆ่านกหัสรังสีเพื่อเอาดวงแก้ววิเศษแล้วอมเก็บไว้ในปาก ยุขันกับตำมะหงง*และตะหลาหรัน*เสนาเมืองฉะนะตันร่ายเวทกำบังกายเข้าไปในเมืองอุรังฆาร แล้วร่ายมนตร์จังงังสะกดท้าวปะรังศรี ล้วงดวงแก้ววิเศษออกจากปากของท้าวปะรังศรี แล้วเหาะกลับไปหยิบเอาดวงแก้วประดับชฎาไปใส่ปากท้าวปะรังศรีไว้แทน
ครั้นกลับถึงค่ายยุขันจะสั่งให้ยกทัพไปล้อมเมืองอุรังฆาร แต่ท้าวตะรังอูทัดทานว่า หากจู่โจมเข้าไปทันทีแม้ชนะก็ไม่เป็นเกียรติยศ ควรให้ทูตถือสารไปแจ้งท้าวปะรังศรีให้คืนนกหัสรังสีและส่งนางบุษหรีมาถวายเพื่อเป็นการอ่อนน้อมก่อน
เมื่อเผชิญหน้ากันในสนามรบ ท้าวปะรังศรีคายดวงแก้วออกให้ยุขันดู ยุขันท้าท้าวปะรังศรีให้ลองฤทธิ์ดวงแก้ววิเศษด้วยการเหาะเหินเดินอากาศ แต่ท้าวปะรังศรีทำไม่ได้ ยุขันจึงบอกว่าได้ลอบไปชิงดวงแก้ววิเศษมาแล้ว ท้าวปะรังศรีอับอายมาก ขอกลับไปสั่งเสียประไหมสุหรีกับนางบุษหรีก่อนแล้วจะกลับมารบ
ท้าวปะรังศรีนิมนต์ฤๅษีสมมิศร*พระอาจารย์มาช่วย ฤๅษีสมมิศรออกอุบายแปลงท้าวปะรังศรีเป็นพระอินทร์ เนรมิตไม้เท้าเป็นช้างเอราวัณ ล่อให้ยุขันบูชาดวงแก้ววิเศษ แล้วให้ท้าวปะรังศรีแย่งดวงแก้วมา ยุขันคิดว่าพระอินทร์มาอวยพรให้รบชนะ แต่ตะหลาหรันทูลทัดทานว่าน่าจะเป็นกลลวง จึงขออนุญาตไปลองฤทธิ์พระอินทร์แปลง ตะหลาหรันและตำมะหงงไปยืนอยู่หน้าช้างแล้วอ่านคาถาอาคมเป่าไป ช้างเอราวัณก็กลับเป็นไม้เท้า ส่วนท้าวปะรังศรีกับฤๅษีสมมิศรก็ตกลงมาแล้ววิ่งหนีเข้าป่าไป วันต่อมาท้าวปะรังศรีออกรบ แต่สู้ทัพของท้าวตะรังอูไม่ได้จึงถูกจับไปถวายยุขัน ท้าวปะรังศรียอมตายแต่ไม่ยอมอ่อนน้อม ยุขันจึงสั่งประหารชีวิต ครั้นนางสร้อยสุนี*รู้ว่าท้าวปะรังศรีสวามีสิ้นพระชนม์ก็ให้จัดเครื่องบรรณาการไปถวายยุขันเพื่อขอศพท้าวปะรังศรีกลับเข้าเมือง ยุขันเคลื่อนพลเข้าเมืองอุรังฆาร นางสร้อยสุนีถวายนางพระกำนัล 12 คนและถวายเมืองให้ยุขันขึ้นครองราชย์ ครั้นพลบค่ำ ยุขันขึ้นไปตำหนักของนางบุษหรีและได้นางเป็นชายา ทั้งสองครองรักอยู่ที่เมืองอุรังฆารอย่างมีความสุข
ต่อมานางประวะลิ่มชวนลิขิตและนางสันหยาเดินทางจากเมืองอุเรเซนออกตามหายุขัน ยุขันรู้ข่าวจึงจัดทัพไปรับนางเข้าเมือง ครั้นอยู่ที่เมืองอุรังฆารได้ประมาณ 1 ปี นางประวะลิ่มน้อยใจที่ยุขันหลงใหลนางบุษหรีจนลืมนาง จึงชวนลิขิตและนางสันหยาเดินทางไปเมืองอุรังยิด ยุขันเกรงว่าท้าวอุรังยิดจะกริ้วหากรู้ว่านกหัสรังสีถูกท้าวปะรังศรีฆ่า จึงไปขอให้ฤๅษีรักขิตช่วยผ่าดวงแก้วเป็น 3 ดวง ดวงหนึ่งชุบให้เป็นนกหัสรังสี ดวงหนึ่งจะเก็บไว้เอง และอีกดวงหนึ่งจะถวายท้าวอุรังยิด
ครั้นพบนางประวะลิ่มที่เมืองอุรังยิด นางตัดพ้อยุขันที่เป็นต้นเหตุให้นกหัสรังสีต้องตาย ยุขันปลอบนางว่าฤๅษีรักขิตช่วยชุบชีวิตนกหัสรังสีแล้ว นางดีใจมากและให้สัญญาว่าจะเมตตานางบุษหรี ต่อมาท้าวอุรังยิดอภิเษกยุขันเป็นเจ้าเมืองอุรังยิดและอภิเษกนางประวะลิ่มเป็นมเหสีฝ่ายขวา ส่วนนางบุษหรีได้เป็นมเหสีฝ่ายซ้าย
เมื่ออุรังหงัน*อนุชาของนางประวะลิ่มยกทัพมาตามนางและนกหัสรังสีกลับเมืองอุเรเซน ยุขันไม่ต้องการจะสู้รบด้วย จึงให้จัดรี้พลรักษาเขตแดนไว้ แต่ห้ามมิให้เคลื่อนทัพออกรบ เมื่อการะผิด*นายกองลาดตระเวนคุมไพร่พลจำนวน 500 คนอยู่ที่ชายแดนจับตาละบีงู*ไปเฝ้ายุขัน ยุขันสอบถามจนรู้ว่าตาละบีงูเป็นข้าเก่าของนางประวะลิ่ม จึงให้นางประวะลิ่มมาเฝ้า ตาละบีงูทูลว่าตั้งแต่นกหัสรังสีหายไป ผู้คนในเมืองอุเรเซนต่างไม่มีความสุข ท้าวอุเรเซนจึงให้อุราหงันยกทัพมาพานางประวะลิ่มและนกหัสรังสีกลับไป
ยุขันต้องการให้เมืองอุรังยิดกับเมืองอุเรเซนเป็นมิตรกัน จึงไปที่ค่ายของอุรังหงัน สะกดไพร่พลให้หลับ ชโลมสุคนธ์ทั่วกายของอุรังหงัน แล้ววางสารไว้ที่ข้างแท่นบรรทม อุรังหงันกริ้วมาก ส่งสารแจ้งยุขันให้คืนนางประวะลิ่มและนกหัสรังสี ยุขันจึงเหาะไปยังค่ายของอุรังหงันอีกครั้ง ร่ายเวทสะกดให้ไพร่พลหลับทั้งกองทัพ แล้วอุ้มอุรังหงันเหาะเข้าเมือง ยุขันกำบังกายประทับอยู่ข้างนางประวะลิ่ม แล้วคลายเวทให้อุรังหงันฟื้น เมื่ออุรังหงันเห็นนางประวะลิ่มก็โกรธ ไม่ยอมทำความเคารพ แล้วจะวิ่งหนี ยุขันจึงขวางไว้ นางประวะลิ่มบอกให้อุรังหงันขอโทษยุขัน
(ต้นฉบับจบเพียงนี้)
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory