TLD-003-3960
วงศเทวราช (ชื่อตัวละคร)
วงศเทวราชเป็นตัวละครในบทละครเรื่องวงศเทวราช เป็นโอรสของพระอินทร์*กับนางฟ้าสุมนทา* เป็นเจ้าเมืองเนาวรัตนนคร* มีมเหสีเอกชื่อบุศบง*
เมื่อโอรสนางฟ้าสุมนทาที่เกิดกับพระอินทร์ชันษาได้ 13 ปี เห็นแต่มารดาและพระพรหมลิขิตฤๅษี*ผู้เป็นตา ก็ถามถึงบิดา นางสุมนทาเล่าว่าบิดาของกุมารคือพระอินทร์ กุมารใคร่จะพบพระบิดา นางสุมนทาจึงเชิญพระอินทร์เสด็จลงมา พระอินทร์เนรมิตเมืองเนาวรัตนนครให้โอรสครอง และประทานนามว่าวงศเทวราชพร้อมทั้งจัดพิธีสมโภชให้
ก่อนที่พระอินทร์จะพานางสุมนทากลับสวรรค์ ได้เนรมิตครุฑ*ให้อยู่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือโอรส เนรมิตม้าชื่อสุริการ*ให้เป็นพาหนะ สอนเวทมนตร์เรียกสัตว์ป่าให้มาหาได้ตามประสงค์ บอกมนตร์มหาจินดา*ให้ ทั้งยังประทานแก้วมณี จักรมณี และพระขรรค์ไว้ให้วงศเทวราชปราบศัตรูด้วย ฝ่ายนางสุมนทาก็ให้ธำมรงค์แก่โอรส ธำมรงค์นี้ถ้าสวมที่นิ้วก้อยจะเป็นหญิง ถ้าสวมที่นิ้วชี้จะเป็นชาย
ต่อมาวงศเทวราชออกประพาสป่า เมื่อไปถึงบรรพตคีรีก็ใคร่จะลองฤทธิ์จักรมณี จึงขว้างไปตัดยอดเขา แล้วร่ายมนตร์เรียกบรรดาสัตว์มาหา มีคชสีห์ ราชสีห์ ไกรสร และวานร ตอนแรกสังขปัด*ซึ่งเป็นวานรมีฤทธิ์มากไม่ยอมอ่อนน้อมคิดจะลองฤทธิ์วงศเทวราช วงศเทวราชจึงให้ม้าสุริการปราบ สุริการสังหารสังขปัดได้ วงศเทวราชเวทนาช่วยชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้น สังขปัดจึงยอมเป็นข้าช่วงใช้
คืนหนึ่งวงศเทวราชฝันว่าที่สระบัวแห่งหนึ่งมีผีเสื้อสมุทรเด็ดดอกบัวมาถวาย ในดอกบัวมีกุมารี ครั้นรุ่งเช้าวงศเทวราชให้ครุฑอยู่รักษาเมือง แล้วเดินทางไปตามหาดอกบัวพร้อมกับสังขปัดและสุริการ เมื่อไปถึงแดนอสูรใกล้แม่น้ำยมนา*วงศเทวราชให้สุริการและสังขปัดไปสืบข่าว สุริการไปพบอสูรซึ่งเป็นขุนด่านรักษาเขตแดน ได้ต่อสู้กันและสังหารอสูรได้ ส่วนสังขปัดนั้นวงศเทวราชให้แปลงกายเป็นนกกะหรอดขาวปลอดไปสืบจนรู้ว่าเมืองอสูรได้จัดให้มีพิธียกศรเพื่อหาผู้อภิเษกกับธิดาเจ้าเมืองแต่ไม่มีผู้ใดยกได้ วงศเทวราชวางแผนแปลงกายเป็นนางยักษ์พายเรือไปขายขนมและสินค้า สังขปัดแปลงเป็นนางยักษ์มีอายุชื่อพุทชาติ* แล้วเนรมิตเรือบรรทุกสินค้า และเนรมิตตรีเพชรของตนเป็นพาย ส่วนวงศเทวราชก็เนรมิตม้าสุริการให้เป็นขี้ผึ้งแห้งซ่อนไว้ในชายภูษาทรง และถอดธำมรงค์ที่พระมารดาให้สวมที่นิ้วก้อย ร่างก็กลายเป็นยักษ์สาวชื่อวงศวาด*
นางยักษ์แปลงพายเรือขายของมาถึงตำหนักแพที่ประทับของนางบุศบง*ธิดาท้าวมหานพสูร*เจ้าเมืองสมุทคีรี* นางบุศบงเห็นนางแม่ค้ารูปงามก็ให้มาเฝ้าแล้วรับไว้เป็นข้าช่วงใช้ ท้าวมหานพสูรเห็นนางกำนัลใหม่ของธิดาก็ยินดี แต่เมื่อโหรทูลว่าทั้งสองเป็นชายแปลงกายมาก็กริ้ว สั่งให้นำนางบุศบงใส่เรือไปถ่วงน้ำ และให้ประหารนางแปลงทั้งสอง เมื่อทหารจะมาจับ วงศวาดและพุทชาติก็กลับเป็นร่างเดิมแล้วเหาะหนีไป ทั้งสองเห็นนางบุศบงนอนอยู่ในเรืออสูรก็เข้าใจว่านางสิ้นชีวิตแล้ว วงศเทวราชจึงให้สังขปัดไปนำศพนางมา ครั้นรู้ว่านางเพียงแต่สลบไปก็จะพานางไปไว้ที่เนาวรัตนนคร โดยให้สังขปัดรอตนกลับมาปราบอสูรภายหลัง เมื่อนางบุศบงฟื้นขึ้น วงศเทวราชบอกให้นางอยู่ที่เนาวรัตนนครกับพี่เลี้ยงทั้งสี่ ส่วนตนจะไปทำศึกกับท้าวมหานพสูรโดยสัญญาว่าจะไว้ชีวิตพระบิดาของนาง
เมื่อจะเสด็จกลับไปทำศึก ครุฑทูลแนะนำให้วงศเทวราชเรียกบรรดาวิชาธร (วิทยาธร) ในป่ามาช่วยรบเพราะเป็นศึกใหญ่ วงศเทวราชจึงอธิษฐานร่ายเวทถึงวิชาธร ท้าววิเรนทร*ผู้เป็นใหญ่ในหมู่วิชาธรแจ้งด้วยทิพโสตว่าโอรสพระอินทร์เดือดร้อน จึงนำศรกายสิทธิ์ที่พระอิศวร*ประทานให้ตนมาถวาย ต่อมาวงศเทวราชพร้อมด้วยครุฑและท้าววิเรนทรยกทัพไปสมทบกับสังขปัดซึ่งรออยู่ สังขปัดทูลวงศเทวราชว่ายังไม่ควรเข้าเมืองอสูรทันที ควรให้ครุฑเป็นทูตถือสารไปแจ้งแก่ท้าวมหานพสูรว่าให้พาธิดามาถวาย เมื่อครุฑไปถึงท้าวมหานพสูรสั่งให้เสนาอสูรจับครุฑมัด ครุฑจึงแผลงฤทธิ์ฆ่าเหล่าอสูรตายแล้วหักยอดพลับพลา ฉวยจักรแก้วที่ท้าวมหานพสูรขว้างมาหมายสังหารไว้ได้ และนำกลับไปถวายวงศเทวราช
ท้าวมหานพสูรปรึกษาการศึกกับท้าวสาตราสูร*อนุชา ท้าวสาตราสูรอาสาออกรบ ไพร่พลยักษ์ล้มตายจำนวนมาก ท้าวสาตราสูรจึงแผลงศรเป็นนาคไปมัดสังขปัดและม้าสุริการ วงศเทวราชให้ครุฑไปช่วยจิกนาคจนนาคต้องกลายร่างเป็นลูกศรดังเดิม
ต่อมาเมื่อวงศเทวราชรู้จากท้าววิเรนทรจับยามดูว่าท้าวสาตราสูรและท้าวจัตุรัต*สหายของท้าวมหานพสูรยกพลออกมาทำศึก วงศเทวราชจึงสั่งให้สังขปัดจัดทัพเตรียมออกรบ แล้วร่ายเวทถึงพระอินทร์ขอรถทรง พระมาตุลี*สารถีของพระอินทร์รู้ด้วยทิพญาณก็ขับเวชยันตราชรถลงมาให้ วงศเทวราชให้ท้าววิเรนทรเป็นนายสารถี เมื่อทัพทั้งสองปะทะกัน วงศเทวราชแผลงศรเป็นตาข่ายเพชร 7 ชั้นกั้นท้าวสาตราสูรไว้ แล้วให้สังขปัดเข้าสังหาร สังขปัดหักคอช้างทรงท้าวสาตราสูร ท้าวสาตราสูรตกลงยังพื้นดิน แล้วชิงร่ายมนตร์แทรกแผ่นดินหนีไปหาท้าวพัทไภย*เจ้าเมืองบาดาล*ผู้เป็นสหาย วงศเทวราชก็สั่งให้ครุฑตามไล่ล้างเหล่าอสูร
เมื่อท้าวจัตุรัตรู้ว่าท้าวสาตราสูรซึ่งเป็นทัพหน้าพ่ายแพ้หนีไปก็ยกทัพหลวงมารบกับวงศเทวราช วงศเทวราชร่ายเวทใช้จักรมณีขว้างไปเป็นมังกรทำลายคทาเพชรที่เป็นสิงโตแปลงของท้าวจัตุรัต แล้วแผลงศรตัดเศียรท้าวจัตุรัต แต่ท้าวจัตุรัตไม่ตาย แล้วร่ายเวทบังกายเหาะหนีไป ท้าววิเรนทรทูลวงศเทวราชว่าท้าวจัตุรัตไม่ตายเพราะถอดดวงใจได้
ฝ่ายท้าวพัทไภยออกอุบายแปลงเป็นนางฟ้านำช่อดอกไม้ไปถวายวงศเทวราช โดยลวงว่าพระมารดาซึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์คิดถึงโอรสจึงประทานมาให้ ส่วนท้าวสาตราสูรแปลงเป็นเรไรซ่อนอยู่ในกลีบดอกไม้ เมื่อนางฟ้าแปลงถวายช่อดอกไม้แก่วงศเทวราชแล้วก็คืนร่างเป็นยักษ์ไปซ่อนในกลีบเมฆ
เมื่อจะบรรทมวงศเทวราชก็วางช่อดอกไม้ไว้ในพานแล้วหลับไป เรไรแปลงจึงออกมาจากกลีบดอกไม้กลายร่างเป็นท้าวสาตราสูร ร่ายมนตร์สะกดวงศเทวราชแล้วอุ้มจากแท่นบรรทม แต่สังขปัดและท้าววิเรนทรเห็นจึงชิงตัววงศเทวราชคืนมาได้ แล้วให้ไพร่พลล้อมไล่ทุบตีท้าวสาตราสูร สังขปัดจับท้าวสาตราสูรมัดไว้แล้วแก้มนตร์สะกดวงศเทวราช
ส่วนท้าวพัทไภยซึ่งซ่อนอยู่ในกลีบเมฆคอยท่าอยู่ ไม่เห็นท้าวสาตราสูรพาวงศเทวราชมา จึงแปลงกายเป็นวานรไปปะปนกับเหล่าพลวานรของวงศเทวราช ท้าวสาตราสูรซึ่งถูกมัดอยู่รู้สึกอับอายที่เสียเกียรติยศและโศกเศร้าถึงมเหสีจึงสลบไป ผู้คุมคิดว่าตายจึงไปทูลวงศเทวราช วงศเทวราชให้นำไปตัดเศียรประจานที่สนามรบ วานรแปลงรู้ว่าท้าวสาตราสูรไม่ตาย จึงเข้าไปใกล้แล้วร่ายมนตร์ให้ท้าวสาตราสูรฟื้นขึ้น สังขปัดเห็นก็เกิดการต่อสู้กัน ท้าวสาตราสูรและท้าวพัทไภยถูกสังขปัดสังหาร
วงศเทวราชให้สังขปัดไปทำอุบายล่อหลอกเอาดวงใจของท้าวจัตุรัตซึ่งถอดซ่อนไว้ในธำมรงค์มาถวาย แล้วสั่งให้จัดทัพออกรบกับท้าวจัตุรัต และให้สังขปัดนำธำมรงค์ไปในสนามรบด้วย ถ้าสบโอกาสก็ให้ขยี้ดวงใจท้าวจัตุรัต
เมื่อท้าวจัตุรัตยกทัพกลับมารบอีก ได้รู้ว่าสังขปัดไปอยู่ร่วมสมกับนางสุวรรณมาลี*มเหสี และหลอกล่อธำมรงค์ใส่ดวงใจของตนมาจากนางก็เสียใจขอเลิกทัพ บอกว่าจะยกทัพมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ในการทำศึกครั้งต่อมาท้าวจัตุรัตทำอุบายแปลงกายเป็นพระอินทร์ทำทีเป็นพระบิดามาสั่งสอนให้วงศเทวราชเลิกคิดทำลายล้างอสูร แต่เมื่อวงศเทวราชรู้จากท้าววิเรนทรว่าท้าวจัตุรัตแปลงกายมาเป็นพระบิดาก็กริ้ว แผลงศรสังหารท้าวจัตุรัต ส่วนสังขปัดก็ขยี้ดวงใจของท้าวจัตุรัตแหลกเป็นธุลี ก่อนจะสิ้นใจท้าวจัตุรัตถวายเมือง ฝากนางสุวรรณมาลีให้ครองคู่กับสังขปัด และขอให้อภัยโทษแก่ท้าวมหานพสูรผู้เป็นสหาย
เมื่อท้าวมหานพสูรรู้ว่าท้าวจัตุรัตสิ้นชีวิต ก็ปรึกษากับนางหิรัญมาลี*มเหสีว่าต้องใช้กลมารยาที่จะเอาชนะวงศเทวราชเพื่อมิให้เปลืองไพร่พล นางหิรัญมาลีจึงร่วมกันวางแผนกับนางสุวรรณมาลี โดยให้นางสุวรรณมาลีแปลงเป็นนางบุศบงเดินทางไปกับนาง และทูลวงศเทวราชว่าท้าวมหานพสูรให้นางพาธิดามาถวายก่อนแล้วจะถวายราชสมบัติในวันรุ่งขึ้น วงศเทวราชเห็นนางบุศบงแปลงก็คิดว่านางหิรัญมาลีไปพานางบุศบงมาจากเนาวรัตนนครจึงตรงเข้ารับขวัญ ท้าววิเรนทรและสังขปัดทูลว่านางเป็นมเหสีของท้าวจัตุรัตแปลงมาแต่วงศเทวราชไม่เชื่อ สังขปัดเกรงว่าวงศเทวราชจะได้นางบุศบงแปลงหรือนางสุวรรณมาลีเป็นมเหสีจึงแสร้งทูลเชิญไปสรงน้ำในสระเชิงเขา แม้ไม่อยากจากนางแต่วงศเทวราชเกรงใจสังขปัดก็ยอมทำตาม
สังขปัดแสร้งทำเศร้าโศกที่วงศเทวราชไม่เชื่อตน ขอพิสูจน์ความจริงถวาย ในที่สุดด้วยอุบายของสังขปัดนางบุศบงแปลงก็ยอมคืนร่างเป็นนางสุวรรณมาลี วงศเทวราชเห็นว่านางสุวรรณมาลีได้เคยอยู่ร่วมสมกับสังขปัดมาก่อนจึงยกโทษให้ แต่ให้สังขปัดพานางไปเย้ยหยันท้าวมหานพสูรแล้วส่งนางคืน สังขปัดทำตามรับสั่งและได้ต่อสู้กับท้าวมหานพสูร ใช้ตรีเพชรเสกเป็นบ่วงนาครัดกายท้าวมหานพสูรกับนางหิรัญมาลีแล้วนำมาถวายวงศเทวราช ท้าวมหานพสูรไม่ยอมบังคมไหว้จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าวงศเทวราชมีฤทธิ์เดช จึงบอกให้วงศเทวราชไปยกศรศิลป์บนยอดเขาหิรัญบรรพต* ถ้ายกได้จะถวายบ้านเมืองและยอมเป็นข้าช่วงใช้
(บทบาทของวงศเทวราชฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดีมีเพียงเท่านี้ ต่อไปนี้เป็นบทบาทในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
วงศเทวราชขี่ม้าสุรกาฬ* (คือสุริการในฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดี) เหาะมายังเมืองสมุทคีรี และสามารถยกศรได้ด้วยนิ้วก้อย ท้าวมหานพสูรจึงยอมสวามิภักดิ์ สังขปัดทูลให้วงศเทวราชประลองศรเพื่อให้เกียรติปรากฏขจรขจายว่ามีฤทธิ์เหมือนพระอินทร์ วงศเทวราชขี่ม้าสุรกาฬ หัตถ์ซ้ายถือศร หัตถ์ขวาถือดาบไล่ฟันพระจันทร์ แล้วแผลงศรไปในป่ารังถึงหมื่นครั้งในวินาทีเดียว จากนั้นก็ให้ท้าวมหานพสูรและท้าววิเรนทรเดินทางด้วยขบวนบาลูนควัน (โคมลอย) ไปรับนางบุษบง* (คือนางบุศบงฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดี) ที่เมืองเนาวรัตนนครมาเข้าพิธีสยุมพร
ฝ่ายพระอินทร์เมื่อรู้ว่าวงศเทวราชโอรสจะเข้าพิธีสยุมพรก็ให้พระวิษณุกรรม*และเทวดาดลใจให้เจ้าต่างเมืองทั้งหลายเดินทางมาร่วมงานและนำเครื่องบรรณาการมาถวาย
หลังพิธีสยุมพรสิ้นสุดลงมีการเลี้ยงฉลองในตอนเย็น ในงานนี้สังขปัดเมาสุราล่วงเกินกวีนไวต์*มเหสีพระเจ้าโยเสฟ*ผู้ครองเมืองกรอบซเกต*และนางเวฬู*มเหสีท้าวสุวิทธิไชย*สุลต่านแห่งเมืองสุบรรณบรรพต* วงศเทวราชจึงสั่งให้ครุฑและท้าววิเรนทรจับสังขปัดห่อผ้าป่านขาวมัดไว้เพื่อมิให้มาก่อความวุ่นวายในงานบอลเต้นรำวันรุ่งขึ้นอีก แล้วสั่งหนูวอก*และนายแห้ว*วานรผู้รับใช้ให้คอยดูแล เมื่อถึงพลับพลาทั้งสองก็แก้มัดสังขปัดออกแล้วเฝ้าปรนนิบัติพัดวี
ในคืนงานบอลเมื่อสังขปัดฟื้นขึ้นก็โกรธ เข้ามาอาละวาดจะอุ้มกวีนไวต์ไปพลับพลา แต่สลบไปเสียก่อน วงศเทวราชกริ้วมากจะสังหารเสีย แต่เมื่อหวนคิดถึงความดีความชอบก็สั่งให้ครุฑหามสังขปัดไปไว้ที่พลับพลานอกวัง
หลังงานบอลสังขปัดฟื้นขึ้นอีกครั้ง แล้วออกไปเผาเมืองด้วยความแค้น ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอด ส่วนวงศเทวราชมัวแต่คิดสับสนอยู่บนเกยที่เนรมิตขึ้น นางบุษบงเห็นจวนตัวจึงหนีไฟเข้าป่าไปเพียงลำพัง ขณะที่เกิดเหตุชุลมุนม้าสุรกาฬก็มาช่วยพาวงศเทวราชเหาะขึ้นไปบนฟ้าแต่ก็ยังถูกเปลวไฟลวก ครั้นพ้นจากเปลวไฟมาได้ก็เหาะลงที่เมืองบางซื่อ*แล้วสลบไปทั้งคู่ ฝ่ายพระอินทร์ทิพอาสน์แข็งกระด้าง เล็งทิพเนตรก็รู้ว่าโอรสกำลังได้รับอันตราย จึงเสด็จลงมาใช้น้ำมันทิพลูบกายวงศเทวราชและสุรกาฬจนฟื้นขึ้น
สุรกาฬพาวงศเทวราชเดินทางต่อเพื่อหาที่พักในเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ ระหว่างทางได้พบกับนางบุญนาคี* เจ้าเมืองบางซื่อที่ออกมาจ่ายตลาดใหม่ท่าเตียน นางบุญนาคีถามถึงความเป็นมา วงศเทวราชบอกนางว่าตนเป็นชาวป่าชื่อคงญวน* นางบุญนาคีรู้สึกเอ็นดูจึงชวนไปอยู่ด้วยในฐานะโอรสบุญธรรม เมื่อกลับไปถึงเมือง นางให้นางเลื่อนลอยฟ้า*ผู้เป็นหลานออกมาไหว้คงญวน ทั้งสองเกิดความปฏิพัทธ์ซึ่งกันและกันแต่แรกเห็น ในที่สุดคงญวนได้ร่วมสมกับนางเลื่อนลอยฟ้าด้วยความช่วยเหลือของนางคลับคล้าย*ข้าช่วงใช้ของนาง และยังได้นางคลับคล้ายด้วย
ฝ่ายนางหนูหุ่น*ข้ารับใช้อีกคนหนึ่งได้รู้เห็นความสัมพันธ์ของคงญวนและนางคลับคล้ายก็ริษยา ไปฟ้องเทพเป๋อ*น้องของนางเลื่อนลอยฟ้า เทพเป๋อโกรธจึงไปบริภาษคงญวนว่าเนรคุณนางบุญนาคีที่นำมาชุบเลี้ยง ทั้งสองเกิดต่อสู้กัน เทพเป๋อเสกผ้าขาวม้าร่ายเวทให้เป็นปลาไหลตัวยาวใหญ่มัดกรคงญวนแล้วลากไปผูกติดกับรั้วเมืองบางซื่อเป็นการประจาน
วันหนึ่งพระธรรมภาณฤๅษี*เล็งญาณรู้ว่าคงญวนหรือวงศเทวราชถูกมัดอยู่ที่เมืองบางซื่อจึงให้ลูกคชสีห์*และลูกราชสีห์*ข้าช่วงใช้ของวงศเทวราชที่พระธรรมภาณฤๅษีช่วยไว้ไปแก้มัดคงญวน ก่อนที่คงญวนจะออกมาจากเมือง ได้ฝากคำท้าแก่ผู้คุมให้เทพเป๋อยกทัพไปต่อสู้กันในป่า แล้วคงญวนก็ไปหาพระธรรมภาณฤๅษี และได้นางวันงอ*และนางแสงจันทร์*ธิดาบุญธรรมของพระฤๅษี
เมื่อเทพเป๋อยกทัพไปต่อสู้กับคงญวนตามคำท้า คงญวนแผลงศรเป็นเกยเล็ก ๆ ตกลงมาดังห่าฝนถูกแร้งทรงและเทพเป๋อรวมทั้งไพร่พลตายเกลื่อน ที่รอดตายก็ไปทูลนางบุญนาคี นางเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก ท้าวภูมเบศ*หลานอีกคนหนึ่งแนะนำว่าควรพานางเลื่อนลอยฟ้าและเครื่องบรรณาการไปถวายคงญวน บ้านเมืองจะได้สงบสุข นางบุญนาคีเห็นดีด้วย
ฝ่ายท้าวมหานพสูร ท้าววิเรนทร และครุฑที่หนีไฟไหม้ต่างก็บาดเจ็บพิกลพิการโดยทั่วหน้า ทั้งสามพากันดั้นด้นตามหาวงศเทวราช ได้พบกับม้าสุรกาฬ รู้ว่าวงศเทวราชอยู่ที่อาศรมพระฤๅษีก็ไปเฝ้า วงศเทวราชใช้แก้วมณีอธิษฐานร่ายเวทช่วยให้ทั้งสามมีร่างใหม่
ส่วนนางบุญนาคีพานางเลื่อนลอยฟ้ามาถวายคงญวน และจะขอรับศพเทพเป๋อไปทำพิธี แต่คงญวนใช้แก้วมณีเป่าให้เทพเป๋อและไพร่พลฟื้นคืนชีพ แล้วเชิญนางบุญนาคีให้รีบกลับเมือง
วงศเทวราชยังคงคิดถึงนางบุษบงที่จากกันเมื่อครั้งไฟไหม้ เมื่อรู้จากท้าววิเรนทรว่านางยังมีชีวิตอยู่ในป่า จึงคิดสัญจรไปในป่า โดยให้ทุกคนเปลี่ยนชื่ออย่างชาวป่า เช่น วงศเทวราชแต่งกายเป็นตลกชาวป่าชื่อคงญวน นางเลื่อนลอยฟ้าเป็นนางละครชื่อนางม่วง* นางวันงอชื่อดำม้า นางแสงจันทร์ชื่อหมาม้า* ท้าวมหานพสูรชื่อมองยิน* ท้าววิเรนทรชื่อขำโกร่ง* ครุฑชื่อขำแกร* เป็นต้น แล้วให้ขุนทหารและเสนาช่วยกันออกสืบข่าวนางบุษบง
ขำโกร่งได้พบกับหลวงชีชื่อสะมะยัง*ซึ่งนางบุษบงไปบวชชีอยู่ด้วย หลวงชีช่วยให้นางชีบุษบงได้พบกับวงศเทวราช ฝ่ายนางม่วง นางดำม้า นางหมาม้า และนางสนมอีก 2 คนรู้ข่าวว่าคงญวนพานางชีมาไว้ในกระท่อมก็พากันไปด่าว่าเสียดสี วงศเทวราชให้มเหสีทั้งสามไหว้นางบุษบงมเหสีเอก
ต่อมาวงศเทวราชยกพลกลับเมืองสมุทคีรี ฝ่ายสังขปัดซึ่งถูกไฟลวกหลังจากเผานครก็กลับมายังพลับพลา เห็นวงศเทวราชมีนางบุษบงกับนางอีก 5 คนอยู่ด้วยก็ริษยาทูลวงศเทวราชให้แจกนาง 5 คนให้แก่บรรดาขุนทหาร โดยให้เหลือนางบุษบงไว้เป็นมเหสีแต่ผู้เดียว
วงศเทวราชบอกว่าจะช่วยรักษาสังขปัดให้หายป่วย แต่สังขปัดต้องสัญญาว่าจะไม่ขู่เข็ญบังคับตนอีก สังขปัดปฏิเสธและทวงบุญคุณ อ้างว่าเป็นเพราะตนเผาเมือง วงศเทวราชจึงได้นางเหล่านี้มา และด้วยความโกรธแค้น สังขปัดถึงกับอาเจียนเป็นโลหิต แล้วเหาะไปฉวยฉุดนางทั้งหก วงศเทวราชจะแผลงศรสังหารแต่ก็ยังชั่งใจอยู่เพราะคิดถึงความดีความชอบของสังขปัด ฝ่ายสังขปัดเห็นดังนั้นก็กลัวตาย จึงพยายามตะกายขึ้นไปกลางอากาศแต่ก็สิ้นแรงสิ้นชีวิต วงศเทวราชแผลงศรเผาศพสังขปัด แล้วเนรมิตเจดีย์บรรจุอัฐิวางบนพานแก้ว จารึกชื่อว่าพระยาปัฐวีฤทธิรงค์*
ต่อมาวงศเทวราชคิดจะกลับไปอยู่เมืองเนาวรัตนนครของตน จึงมอบเมืองสมุทคีรีให้ท้าวมหานพสูรครองดังเดิม ฝ่ายสังขปัดตายแล้วเกิดเป็นเปรต ยังคงคิดพยาบาทวงศเทวราชอยู่ เมื่อรู้ว่าวงศเทวราชกลับมาเนรมิตเมืองเนาวรัตนนครให้กว้างใหญ่กว่าเดิมและจัดให้มีงานฉลองก็มาปรากฏกายจนผู้คนตกใจวุ่นวายไปทั้งเมือง เปรตสังขปัดมาถึงหน้าพลับพลาที่ประทับ ทูลว่าวงศเทวราชมีมเหสีและนางสนมมากมาย ตนจึงมาขอมเหสีไปปรนนิบัติรับใช้ ครั้นวงศเทวราชไม่ให้ เปรตสังขปัดก็ไล่ไขว่คว้าบรรดามเหสี จนในที่สุดวงศเทวราชต้องแผลงศรเป็นเกยเล็ก ๆ ตกลงมาสังหาร แต่สังขปัดก็กลับฟื้นขึ้นมาอีกเพราะยังไม่หมดกรรม วงศเทวราชจึงสั่งให้ประกาศหาผู้มาปราบ ถ้าปราบได้จะให้ทองเท่าลูกฟักเป็นรางวัลและให้ทุกอย่างตามความประสงค์
นางอินทวดี*หญิงม่ายซึ่งใฝ่ฝันถึงวงศเทวราชกษัตริย์รูปงามอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังประกาศก็เข้าไปอาสา ทูลว่าเมื่อเปรตสังขปัดปรารถนาจะได้มเหสีของวงศเทวราช นางก็จะปลอมเป็นมเหสีออกไปหา แต่เพื่อไม่ให้มีบาปกรรมติดตัวที่พูดปด นางจึงต้องเป็นมเหสีวงศเทวราชเสียก่อน วงศเทวราชชมว่านางมีความคิดหลักแหลมนัก แล้วรีบพานางไปอยู่ร่วมสมกันในปราสาท แต่นางอินทวดีก็ไม่สามารถปราบเปรตสังขปัดได้
ท้าววิเรนทรทูลให้วงศเทวราชเชิญพระพรหมลิขิตฤๅษีมาช่วยปราบเปรตสังขปัด เมื่อขับไล่เปรตได้สำเร็จแล้ว พระฤๅษีก็ให้วงศเทวราชทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ เปรตสังขปัดจะได้ไม่มารบกวนอีก
เมื่อเหตุร้ายทั้งปวงสิ้นสุดลง วงศเทวราชก็ให้พิจารณาความดีความชอบของบรรดาขุนทหารและบริวาร และปกครองเนาวรัตนนครอย่างมีความสุข
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory