โลโก้ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรLogo
logo
  • หน้าหลัก
  • วรรณคดี
  • ผู้แต่ง
  • ตัวละครและปกิณกะ
  • เกี่ยวกับโครงการ
    • เกี่ยวกับโครงการ
    • เกี่ยวกับโครงการ
    • นโยบายการใช้งาน
    • ติดต่อเรา
    • ศมส
ขยายขนาดตัวอักษร

ตัวละครและปกิณกะ

  1. หน้าหลัก
  2. ตัวละครและปกิณกะ
  3. วงศเทวราช

วงศเทวราช

  • วงศเทวราช
  • ชื่อตัวละคร
รหัสข้อมูล
TLD-003-3960
ชื่อ
วงศเทวราช ( ชื่อตัวละคร)
วรรณคดี
วงศ์เทวราช   วงศเทวราช 1  
คำอธิบายเนื้อเรื่อง

วงศเทวราชเป็นตัวละครในบทละครเรื่องวงศเทวราช เป็นโอรสของพระอินทร์*กับนางฟ้าสุมนทา*  เป็นเจ้าเมืองเนาวรัตนนคร*  มีมเหสีเอกชื่อบุศบง*

เมื่อโอรสนางฟ้าสุมนทาที่เกิดกับพระอินทร์ชันษาได้ 13 ปี   เห็นแต่มารดาและพระพรหมลิขิตฤๅษี*ผู้เป็นตา  ก็ถามถึงบิดา  นางสุมนทาเล่าว่าบิดาของกุมารคือพระอินทร์ กุมารใคร่จะพบพระบิดา  นางสุมนทาจึงเชิญพระอินทร์เสด็จลงมา  พระอินทร์เนรมิตเมืองเนาวรัตนนครให้โอรสครอง  และประทานนามว่าวงศเทวราชพร้อมทั้งจัดพิธีสมโภชให้

ก่อนที่พระอินทร์จะพานางสุมนทากลับสวรรค์  ได้เนรมิตครุฑ*ให้อยู่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือโอรส  เนรมิตม้าชื่อสุริการ*ให้เป็นพาหนะ  สอนเวทมนตร์เรียกสัตว์ป่าให้มาหาได้ตามประสงค์  บอกมนตร์มหาจินดา*ให้  ทั้งยังประทานแก้วมณี  จักรมณี  และพระขรรค์ไว้ให้วงศเทวราชปราบศัตรูด้วย  ฝ่ายนางสุมนทาก็ให้ธำมรงค์แก่โอรส   ธำมรงค์นี้ถ้าสวมที่นิ้วก้อยจะเป็นหญิง  ถ้าสวมที่นิ้วชี้จะเป็นชาย

ต่อมาวงศเทวราชออกประพาสป่า  เมื่อไปถึงบรรพตคีรีก็ใคร่จะลองฤทธิ์จักรมณี  จึงขว้างไปตัดยอดเขา  แล้วร่ายมนตร์เรียกบรรดาสัตว์มาหา มีคชสีห์  ราชสีห์  ไกรสร  และวานร   ตอนแรกสังขปัด*ซึ่งเป็นวานรมีฤทธิ์มากไม่ยอมอ่อนน้อมคิดจะลองฤทธิ์วงศเทวราช  วงศเทวราชจึงให้ม้าสุริการปราบ  สุริการสังหารสังขปัดได้  วงศเทวราชเวทนาช่วยชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้น  สังขปัดจึงยอมเป็นข้าช่วงใช้

คืนหนึ่งวงศเทวราชฝันว่าที่สระบัวแห่งหนึ่งมีผีเสื้อสมุทรเด็ดดอกบัวมาถวาย  ในดอกบัวมีกุมารี ครั้นรุ่งเช้าวงศเทวราชให้ครุฑอยู่รักษาเมือง   แล้วเดินทางไปตามหาดอกบัวพร้อมกับสังขปัดและสุริการ    เมื่อไปถึงแดนอสูรใกล้แม่น้ำยมนา*วงศเทวราชให้สุริการและสังขปัดไปสืบข่าว   สุริการไปพบอสูรซึ่งเป็นขุนด่านรักษาเขตแดน  ได้ต่อสู้กันและสังหารอสูรได้   ส่วนสังขปัดนั้นวงศเทวราชให้แปลงกายเป็นนกกะหรอดขาวปลอดไปสืบจนรู้ว่าเมืองอสูรได้จัดให้มีพิธียกศรเพื่อหาผู้อภิเษกกับธิดาเจ้าเมืองแต่ไม่มีผู้ใดยกได้  วงศเทวราชวางแผนแปลงกายเป็นนางยักษ์พายเรือไปขายขนมและสินค้า  สังขปัดแปลงเป็นนางยักษ์มีอายุชื่อพุทชาติ*  แล้วเนรมิตเรือบรรทุกสินค้า  และเนรมิตตรีเพชรของตนเป็นพาย  ส่วนวงศเทวราชก็เนรมิตม้าสุริการให้เป็นขี้ผึ้งแห้งซ่อนไว้ในชายภูษาทรง  และถอดธำมรงค์ที่พระมารดาให้สวมที่นิ้วก้อย  ร่างก็กลายเป็นยักษ์สาวชื่อวงศวาด*

นางยักษ์แปลงพายเรือขายของมาถึงตำหนักแพที่ประทับของนางบุศบง*ธิดาท้าวมหานพสูร*เจ้าเมืองสมุทคีรี*  นางบุศบงเห็นนางแม่ค้ารูปงามก็ให้มาเฝ้าแล้วรับไว้เป็นข้าช่วงใช้  ท้าวมหานพสูรเห็นนางกำนัลใหม่ของธิดาก็ยินดี  แต่เมื่อโหรทูลว่าทั้งสองเป็นชายแปลงกายมาก็กริ้ว   สั่งให้นำนางบุศบงใส่เรือไปถ่วงน้ำ  และให้ประหารนางแปลงทั้งสอง   เมื่อทหารจะมาจับ  วงศวาดและพุทชาติก็กลับเป็นร่างเดิมแล้วเหาะหนีไป  ทั้งสองเห็นนางบุศบงนอนอยู่ในเรืออสูรก็เข้าใจว่านางสิ้นชีวิตแล้ว   วงศเทวราชจึงให้สังขปัดไปนำศพนางมา  ครั้นรู้ว่านางเพียงแต่สลบไปก็จะพานางไปไว้ที่เนาวรัตนนคร  โดยให้สังขปัดรอตนกลับมาปราบอสูรภายหลัง  เมื่อนางบุศบงฟื้นขึ้น   วงศเทวราชบอกให้นางอยู่ที่เนาวรัตนนครกับพี่เลี้ยงทั้งสี่   ส่วนตนจะไปทำศึกกับท้าวมหานพสูรโดยสัญญาว่าจะไว้ชีวิตพระบิดาของนาง 

เมื่อจะเสด็จกลับไปทำศึก  ครุฑทูลแนะนำให้วงศเทวราชเรียกบรรดาวิชาธร (วิทยาธร) ในป่ามาช่วยรบเพราะเป็นศึกใหญ่  วงศเทวราชจึงอธิษฐานร่ายเวทถึงวิชาธร    ท้าววิเรนทร*ผู้เป็นใหญ่ในหมู่วิชาธรแจ้งด้วยทิพโสตว่าโอรสพระอินทร์เดือดร้อน  จึงนำศรกายสิทธิ์ที่พระอิศวร*ประทานให้ตนมาถวาย  ต่อมาวงศเทวราชพร้อมด้วยครุฑและท้าววิเรนทรยกทัพไปสมทบกับสังขปัดซึ่งรออยู่  สังขปัดทูลวงศเทวราชว่ายังไม่ควรเข้าเมืองอสูรทันที  ควรให้ครุฑเป็นทูตถือสารไปแจ้งแก่ท้าวมหานพสูรว่าให้พาธิดามาถวาย  เมื่อครุฑไปถึงท้าวมหานพสูรสั่งให้เสนาอสูรจับครุฑมัด  ครุฑจึงแผลงฤทธิ์ฆ่าเหล่าอสูรตายแล้วหักยอดพลับพลา  ฉวยจักรแก้วที่ท้าวมหานพสูรขว้างมาหมายสังหารไว้ได้  และนำกลับไปถวายวงศเทวราช

ท้าวมหานพสูรปรึกษาการศึกกับท้าวสาตราสูร*อนุชา  ท้าวสาตราสูรอาสาออกรบ  ไพร่พลยักษ์ล้มตายจำนวนมาก  ท้าวสาตราสูรจึงแผลงศรเป็นนาคไปมัดสังขปัดและม้าสุริการ วงศเทวราชให้ครุฑไปช่วยจิกนาคจนนาคต้องกลายร่างเป็นลูกศรดังเดิม 

ต่อมาเมื่อวงศเทวราชรู้จากท้าววิเรนทรจับยามดูว่าท้าวสาตราสูรและท้าวจัตุรัต*สหายของท้าวมหานพสูรยกพลออกมาทำศึก   วงศเทวราชจึงสั่งให้สังขปัดจัดทัพเตรียมออกรบ  แล้วร่ายเวทถึงพระอินทร์ขอรถทรง พระมาตุลี*สารถีของพระอินทร์รู้ด้วยทิพญาณก็ขับเวชยันตราชรถลงมาให้ วงศเทวราชให้ท้าววิเรนทรเป็นนายสารถี เมื่อทัพทั้งสองปะทะกัน  วงศเทวราชแผลงศรเป็นตาข่ายเพชร 7 ชั้นกั้นท้าวสาตราสูรไว้   แล้วให้สังขปัดเข้าสังหาร  สังขปัดหักคอช้างทรงท้าวสาตราสูร  ท้าวสาตราสูรตกลงยังพื้นดิน  แล้วชิงร่ายมนตร์แทรกแผ่นดินหนีไปหาท้าวพัทไภย*เจ้าเมืองบาดาล*ผู้เป็นสหาย   วงศเทวราชก็สั่งให้ครุฑตามไล่ล้างเหล่าอสูร

เมื่อท้าวจัตุรัตรู้ว่าท้าวสาตราสูรซึ่งเป็นทัพหน้าพ่ายแพ้หนีไปก็ยกทัพหลวงมารบกับวงศเทวราช  วงศเทวราชร่ายเวทใช้จักรมณีขว้างไปเป็นมังกรทำลายคทาเพชรที่เป็นสิงโตแปลงของท้าวจัตุรัต  แล้วแผลงศรตัดเศียรท้าวจัตุรัต   แต่ท้าวจัตุรัตไม่ตาย  แล้วร่ายเวทบังกายเหาะหนีไป   ท้าววิเรนทรทูลวงศเทวราชว่าท้าวจัตุรัตไม่ตายเพราะถอดดวงใจได้

ฝ่ายท้าวพัทไภยออกอุบายแปลงเป็นนางฟ้านำช่อดอกไม้ไปถวายวงศเทวราช  โดยลวงว่าพระมารดาซึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์คิดถึงโอรสจึงประทานมาให้  ส่วนท้าวสาตราสูรแปลงเป็นเรไรซ่อนอยู่ในกลีบดอกไม้  เมื่อนางฟ้าแปลงถวายช่อดอกไม้แก่วงศเทวราชแล้วก็คืนร่างเป็นยักษ์ไปซ่อนในกลีบเมฆ  

เมื่อจะบรรทมวงศเทวราชก็วางช่อดอกไม้ไว้ในพานแล้วหลับไป  เรไรแปลงจึงออกมาจากกลีบดอกไม้กลายร่างเป็นท้าวสาตราสูร  ร่ายมนตร์สะกดวงศเทวราชแล้วอุ้มจากแท่นบรรทม  แต่สังขปัดและท้าววิเรนทรเห็นจึงชิงตัววงศเทวราชคืนมาได้  แล้วให้ไพร่พลล้อมไล่ทุบตีท้าวสาตราสูร  สังขปัดจับท้าวสาตราสูรมัดไว้แล้วแก้มนตร์สะกดวงศเทวราช   

ส่วนท้าวพัทไภยซึ่งซ่อนอยู่ในกลีบเมฆคอยท่าอยู่  ไม่เห็นท้าวสาตราสูรพาวงศเทวราชมา  จึงแปลงกายเป็นวานรไปปะปนกับเหล่าพลวานรของวงศเทวราช  ท้าวสาตราสูรซึ่งถูกมัดอยู่รู้สึกอับอายที่เสียเกียรติยศและโศกเศร้าถึงมเหสีจึงสลบไป ผู้คุมคิดว่าตายจึงไปทูลวงศเทวราช  วงศเทวราชให้นำไปตัดเศียรประจานที่สนามรบ  วานรแปลงรู้ว่าท้าวสาตราสูรไม่ตาย จึงเข้าไปใกล้แล้วร่ายมนตร์ให้ท้าวสาตราสูรฟื้นขึ้น สังขปัดเห็นก็เกิดการต่อสู้กัน  ท้าวสาตราสูรและท้าวพัทไภยถูกสังขปัดสังหาร

วงศเทวราชให้สังขปัดไปทำอุบายล่อหลอกเอาดวงใจของท้าวจัตุรัตซึ่งถอดซ่อนไว้ในธำมรงค์มาถวาย  แล้วสั่งให้จัดทัพออกรบกับท้าวจัตุรัต  และให้สังขปัดนำธำมรงค์ไปในสนามรบด้วย  ถ้าสบโอกาสก็ให้ขยี้ดวงใจท้าวจัตุรัต

เมื่อท้าวจัตุรัตยกทัพกลับมารบอีก   ได้รู้ว่าสังขปัดไปอยู่ร่วมสมกับนางสุวรรณมาลี*มเหสี  และหลอกล่อธำมรงค์ใส่ดวงใจของตนมาจากนางก็เสียใจขอเลิกทัพ  บอกว่าจะยกทัพมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น  ในการทำศึกครั้งต่อมาท้าวจัตุรัตทำอุบายแปลงกายเป็นพระอินทร์ทำทีเป็นพระบิดามาสั่งสอนให้วงศเทวราชเลิกคิดทำลายล้างอสูร  แต่เมื่อวงศเทวราชรู้จากท้าววิเรนทรว่าท้าวจัตุรัตแปลงกายมาเป็นพระบิดาก็กริ้ว  แผลงศรสังหารท้าวจัตุรัต  ส่วนสังขปัดก็ขยี้ดวงใจของท้าวจัตุรัตแหลกเป็นธุลี  ก่อนจะสิ้นใจท้าวจัตุรัตถวายเมือง  ฝากนางสุวรรณมาลีให้ครองคู่กับสังขปัด   และขอให้อภัยโทษแก่ท้าวมหานพสูรผู้เป็นสหาย

เมื่อท้าวมหานพสูรรู้ว่าท้าวจัตุรัตสิ้นชีวิต  ก็ปรึกษากับนางหิรัญมาลี*มเหสีว่าต้องใช้กลมารยาที่จะเอาชนะวงศเทวราชเพื่อมิให้เปลืองไพร่พล  นางหิรัญมาลีจึงร่วมกันวางแผนกับนางสุวรรณมาลี  โดยให้นางสุวรรณมาลีแปลงเป็นนางบุศบงเดินทางไปกับนาง   และทูลวงศเทวราชว่าท้าวมหานพสูรให้นางพาธิดามาถวายก่อนแล้วจะถวายราชสมบัติในวันรุ่งขึ้น    วงศเทวราชเห็นนางบุศบงแปลงก็คิดว่านางหิรัญมาลีไปพานางบุศบงมาจากเนาวรัตนนครจึงตรงเข้ารับขวัญ  ท้าววิเรนทรและสังขปัดทูลว่านางเป็นมเหสีของท้าวจัตุรัตแปลงมาแต่วงศเทวราชไม่เชื่อ  สังขปัดเกรงว่าวงศเทวราชจะได้นางบุศบงแปลงหรือนางสุวรรณมาลีเป็นมเหสีจึงแสร้งทูลเชิญไปสรงน้ำในสระเชิงเขา  แม้ไม่อยากจากนางแต่วงศเทวราชเกรงใจสังขปัดก็ยอมทำตาม

สังขปัดแสร้งทำเศร้าโศกที่วงศเทวราชไม่เชื่อตน  ขอพิสูจน์ความจริงถวาย  ในที่สุดด้วยอุบายของสังขปัดนางบุศบงแปลงก็ยอมคืนร่างเป็นนางสุวรรณมาลี  วงศเทวราชเห็นว่านางสุวรรณมาลีได้เคยอยู่ร่วมสมกับสังขปัดมาก่อนจึงยกโทษให้  แต่ให้สังขปัดพานางไปเย้ยหยันท้าวมหานพสูรแล้วส่งนางคืน  สังขปัดทำตามรับสั่งและได้ต่อสู้กับท้าวมหานพสูร  ใช้ตรีเพชรเสกเป็นบ่วงนาครัดกายท้าวมหานพสูรกับนางหิรัญมาลีแล้วนำมาถวายวงศเทวราช  ท้าวมหานพสูรไม่ยอมบังคมไหว้จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าวงศเทวราชมีฤทธิ์เดช  จึงบอกให้วงศเทวราชไปยกศรศิลป์บนยอดเขาหิรัญบรรพต*  ถ้ายกได้จะถวายบ้านเมืองและยอมเป็นข้าช่วงใช้

(บทบาทของวงศเทวราชฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดีมีเพียงเท่านี้  ต่อไปนี้เป็นบทบาทในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

วงศเทวราชขี่ม้าสุรกาฬ* (คือสุริการในฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดี)  เหาะมายังเมืองสมุทคีรี และสามารถยกศรได้ด้วยนิ้วก้อย  ท้าวมหานพสูรจึงยอมสวามิภักดิ์  สังขปัดทูลให้วงศเทวราชประลองศรเพื่อให้เกียรติปรากฏขจรขจายว่ามีฤทธิ์เหมือนพระอินทร์  วงศเทวราชขี่ม้าสุรกาฬ  หัตถ์ซ้ายถือศร  หัตถ์ขวาถือดาบไล่ฟันพระจันทร์  แล้วแผลงศรไปในป่ารังถึงหมื่นครั้งในวินาทีเดียว  จากนั้นก็ให้ท้าวมหานพสูรและท้าววิเรนทรเดินทางด้วยขบวนบาลูนควัน (โคมลอย) ไปรับนางบุษบง* (คือนางบุศบงฉบับหลวงพัฒนพงศ์ภักดี) ที่เมืองเนาวรัตนนครมาเข้าพิธีสยุมพร

ฝ่ายพระอินทร์เมื่อรู้ว่าวงศเทวราชโอรสจะเข้าพิธีสยุมพรก็ให้พระวิษณุกรรม*และเทวดาดลใจให้เจ้าต่างเมืองทั้งหลายเดินทางมาร่วมงานและนำเครื่องบรรณาการมาถวาย 

หลังพิธีสยุมพรสิ้นสุดลงมีการเลี้ยงฉลองในตอนเย็น ในงานนี้สังขปัดเมาสุราล่วงเกินกวีนไวต์*มเหสีพระเจ้าโยเสฟ*ผู้ครองเมืองกรอบซเกต*และนางเวฬู*มเหสีท้าวสุวิทธิไชย*สุลต่านแห่งเมืองสุบรรณบรรพต*  วงศเทวราชจึงสั่งให้ครุฑและท้าววิเรนทรจับสังขปัดห่อผ้าป่านขาวมัดไว้เพื่อมิให้มาก่อความวุ่นวายในงานบอลเต้นรำวันรุ่งขึ้นอีก  แล้วสั่งหนูวอก*และนายแห้ว*วานรผู้รับใช้ให้คอยดูแล  เมื่อถึงพลับพลาทั้งสองก็แก้มัดสังขปัดออกแล้วเฝ้าปรนนิบัติพัดวี

ในคืนงานบอลเมื่อสังขปัดฟื้นขึ้นก็โกรธ  เข้ามาอาละวาดจะอุ้มกวีนไวต์ไปพลับพลา  แต่สลบไปเสียก่อน  วงศเทวราชกริ้วมากจะสังหารเสีย  แต่เมื่อหวนคิดถึงความดีความชอบก็สั่งให้ครุฑหามสังขปัดไปไว้ที่พลับพลานอกวัง

หลังงานบอลสังขปัดฟื้นขึ้นอีกครั้ง  แล้วออกไปเผาเมืองด้วยความแค้น  ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอด  ส่วนวงศเทวราชมัวแต่คิดสับสนอยู่บนเกยที่เนรมิตขึ้น   นางบุษบงเห็นจวนตัวจึงหนีไฟเข้าป่าไปเพียงลำพัง  ขณะที่เกิดเหตุชุลมุนม้าสุรกาฬก็มาช่วยพาวงศเทวราชเหาะขึ้นไปบนฟ้าแต่ก็ยังถูกเปลวไฟลวก  ครั้นพ้นจากเปลวไฟมาได้ก็เหาะลงที่เมืองบางซื่อ*แล้วสลบไปทั้งคู่  ฝ่ายพระอินทร์ทิพอาสน์แข็งกระด้าง  เล็งทิพเนตรก็รู้ว่าโอรสกำลังได้รับอันตราย   จึงเสด็จลงมาใช้น้ำมันทิพลูบกายวงศเทวราชและสุรกาฬจนฟื้นขึ้น 

สุรกาฬพาวงศเทวราชเดินทางต่อเพื่อหาที่พักในเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ   ระหว่างทางได้พบกับนางบุญนาคี*  เจ้าเมืองบางซื่อที่ออกมาจ่ายตลาดใหม่ท่าเตียน  นางบุญนาคีถามถึงความเป็นมา  วงศเทวราชบอกนางว่าตนเป็นชาวป่าชื่อคงญวน*  นางบุญนาคีรู้สึกเอ็นดูจึงชวนไปอยู่ด้วยในฐานะโอรสบุญธรรม  เมื่อกลับไปถึงเมือง  นางให้นางเลื่อนลอยฟ้า*ผู้เป็นหลานออกมาไหว้คงญวน  ทั้งสองเกิดความปฏิพัทธ์ซึ่งกันและกันแต่แรกเห็น  ในที่สุดคงญวนได้ร่วมสมกับนางเลื่อนลอยฟ้าด้วยความช่วยเหลือของนางคลับคล้าย*ข้าช่วงใช้ของนาง  และยังได้นางคลับคล้ายด้วย

ฝ่ายนางหนูหุ่น*ข้ารับใช้อีกคนหนึ่งได้รู้เห็นความสัมพันธ์ของคงญวนและนางคลับคล้ายก็ริษยา  ไปฟ้องเทพเป๋อ*น้องของนางเลื่อนลอยฟ้า  เทพเป๋อโกรธจึงไปบริภาษคงญวนว่าเนรคุณนางบุญนาคีที่นำมาชุบเลี้ยง  ทั้งสองเกิดต่อสู้กัน  เทพเป๋อเสกผ้าขาวม้าร่ายเวทให้เป็นปลาไหลตัวยาวใหญ่มัดกรคงญวนแล้วลากไปผูกติดกับรั้วเมืองบางซื่อเป็นการประจาน

วันหนึ่งพระธรรมภาณฤๅษี*เล็งญาณรู้ว่าคงญวนหรือวงศเทวราชถูกมัดอยู่ที่เมืองบางซื่อจึงให้ลูกคชสีห์*และลูกราชสีห์*ข้าช่วงใช้ของวงศเทวราชที่พระธรรมภาณฤๅษีช่วยไว้ไปแก้มัดคงญวน  ก่อนที่คงญวนจะออกมาจากเมือง  ได้ฝากคำท้าแก่ผู้คุมให้เทพเป๋อยกทัพไปต่อสู้กันในป่า  แล้วคงญวนก็ไปหาพระธรรมภาณฤๅษี    และได้นางวันงอ*และนางแสงจันทร์*ธิดาบุญธรรมของพระฤๅษี 

เมื่อเทพเป๋อยกทัพไปต่อสู้กับคงญวนตามคำท้า  คงญวนแผลงศรเป็นเกยเล็ก ๆ ตกลงมาดังห่าฝนถูกแร้งทรงและเทพเป๋อรวมทั้งไพร่พลตายเกลื่อน  ที่รอดตายก็ไปทูลนางบุญนาคี  นางเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก  ท้าวภูมเบศ*หลานอีกคนหนึ่งแนะนำว่าควรพานางเลื่อนลอยฟ้าและเครื่องบรรณาการไปถวายคงญวน  บ้านเมืองจะได้สงบสุข  นางบุญนาคีเห็นดีด้วย

ฝ่ายท้าวมหานพสูร  ท้าววิเรนทร และครุฑที่หนีไฟไหม้ต่างก็บาดเจ็บพิกลพิการโดยทั่วหน้า  ทั้งสามพากันดั้นด้นตามหาวงศเทวราช  ได้พบกับม้าสุรกาฬ  รู้ว่าวงศเทวราชอยู่ที่อาศรมพระฤๅษีก็ไปเฝ้า วงศเทวราชใช้แก้วมณีอธิษฐานร่ายเวทช่วยให้ทั้งสามมีร่างใหม่

ส่วนนางบุญนาคีพานางเลื่อนลอยฟ้ามาถวายคงญวน  และจะขอรับศพเทพเป๋อไปทำพิธี   แต่คงญวนใช้แก้วมณีเป่าให้เทพเป๋อและไพร่พลฟื้นคืนชีพ  แล้วเชิญนางบุญนาคีให้รีบกลับเมือง 

วงศเทวราชยังคงคิดถึงนางบุษบงที่จากกันเมื่อครั้งไฟไหม้  เมื่อรู้จากท้าววิเรนทรว่านางยังมีชีวิตอยู่ในป่า  จึงคิดสัญจรไปในป่า  โดยให้ทุกคนเปลี่ยนชื่ออย่างชาวป่า  เช่น  วงศเทวราชแต่งกายเป็นตลกชาวป่าชื่อคงญวน  นางเลื่อนลอยฟ้าเป็นนางละครชื่อนางม่วง*  นางวันงอชื่อดำม้า นางแสงจันทร์ชื่อหมาม้า*  ท้าวมหานพสูรชื่อมองยิน*  ท้าววิเรนทรชื่อขำโกร่ง*  ครุฑชื่อขำแกร*  เป็นต้น  แล้วให้ขุนทหารและเสนาช่วยกันออกสืบข่าวนางบุษบง

ขำโกร่งได้พบกับหลวงชีชื่อสะมะยัง*ซึ่งนางบุษบงไปบวชชีอยู่ด้วย  หลวงชีช่วยให้นางชีบุษบงได้พบกับวงศเทวราช  ฝ่ายนางม่วง  นางดำม้า  นางหมาม้า และนางสนมอีก 2 คนรู้ข่าวว่าคงญวนพานางชีมาไว้ในกระท่อมก็พากันไปด่าว่าเสียดสี  วงศเทวราชให้มเหสีทั้งสามไหว้นางบุษบงมเหสีเอก 

ต่อมาวงศเทวราชยกพลกลับเมืองสมุทคีรี  ฝ่ายสังขปัดซึ่งถูกไฟลวกหลังจากเผานครก็กลับมายังพลับพลา  เห็นวงศเทวราชมีนางบุษบงกับนางอีก 5  คนอยู่ด้วยก็ริษยาทูลวงศเทวราชให้แจกนาง 5 คนให้แก่บรรดาขุนทหาร  โดยให้เหลือนางบุษบงไว้เป็นมเหสีแต่ผู้เดียว

วงศเทวราชบอกว่าจะช่วยรักษาสังขปัดให้หายป่วย  แต่สังขปัดต้องสัญญาว่าจะไม่ขู่เข็ญบังคับตนอีก   สังขปัดปฏิเสธและทวงบุญคุณ   อ้างว่าเป็นเพราะตนเผาเมือง  วงศเทวราชจึงได้นางเหล่านี้มา  และด้วยความโกรธแค้น  สังขปัดถึงกับอาเจียนเป็นโลหิต  แล้วเหาะไปฉวยฉุดนางทั้งหก  วงศเทวราชจะแผลงศรสังหารแต่ก็ยังชั่งใจอยู่เพราะคิดถึงความดีความชอบของสังขปัด  ฝ่ายสังขปัดเห็นดังนั้นก็กลัวตาย  จึงพยายามตะกายขึ้นไปกลางอากาศแต่ก็สิ้นแรงสิ้นชีวิต  วงศเทวราชแผลงศรเผาศพสังขปัด  แล้วเนรมิตเจดีย์บรรจุอัฐิวางบนพานแก้ว  จารึกชื่อว่าพระยาปัฐวีฤทธิรงค์*

ต่อมาวงศเทวราชคิดจะกลับไปอยู่เมืองเนาวรัตนนครของตน  จึงมอบเมืองสมุทคีรีให้ท้าวมหานพสูรครองดังเดิม  ฝ่ายสังขปัดตายแล้วเกิดเป็นเปรต  ยังคงคิดพยาบาทวงศเทวราชอยู่  เมื่อรู้ว่าวงศเทวราชกลับมาเนรมิตเมืองเนาวรัตนนครให้กว้างใหญ่กว่าเดิมและจัดให้มีงานฉลองก็มาปรากฏกายจนผู้คนตกใจวุ่นวายไปทั้งเมือง  เปรตสังขปัดมาถึงหน้าพลับพลาที่ประทับ  ทูลว่าวงศเทวราชมีมเหสีและนางสนมมากมาย  ตนจึงมาขอมเหสีไปปรนนิบัติรับใช้  ครั้นวงศเทวราชไม่ให้  เปรตสังขปัดก็ไล่ไขว่คว้าบรรดามเหสี  จนในที่สุดวงศเทวราชต้องแผลงศรเป็นเกยเล็ก ๆ ตกลงมาสังหาร  แต่สังขปัดก็กลับฟื้นขึ้นมาอีกเพราะยังไม่หมดกรรม  วงศเทวราชจึงสั่งให้ประกาศหาผู้มาปราบ  ถ้าปราบได้จะให้ทองเท่าลูกฟักเป็นรางวัลและให้ทุกอย่างตามความประสงค์

นางอินทวดี*หญิงม่ายซึ่งใฝ่ฝันถึงวงศเทวราชกษัตริย์รูปงามอยู่แล้ว  เมื่อได้ฟังประกาศก็เข้าไปอาสา  ทูลว่าเมื่อเปรตสังขปัดปรารถนาจะได้มเหสีของวงศเทวราช  นางก็จะปลอมเป็นมเหสีออกไปหา   แต่เพื่อไม่ให้มีบาปกรรมติดตัวที่พูดปด  นางจึงต้องเป็นมเหสีวงศเทวราชเสียก่อน  วงศเทวราชชมว่านางมีความคิดหลักแหลมนัก  แล้วรีบพานางไปอยู่ร่วมสมกันในปราสาท  แต่นางอินทวดีก็ไม่สามารถปราบเปรตสังขปัดได้

ท้าววิเรนทรทูลให้วงศเทวราชเชิญพระพรหมลิขิตฤๅษีมาช่วยปราบเปรตสังขปัด   เมื่อขับไล่เปรตได้สำเร็จแล้ว  พระฤๅษีก็ให้วงศเทวราชทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลไปให้  เปรตสังขปัดจะได้ไม่มารบกวนอีก

เมื่อเหตุร้ายทั้งปวงสิ้นสุดลง  วงศเทวราชก็ให้พิจารณาความดีความชอบของบรรดาขุนทหารและบริวาร   และปกครองเนาวรัตนนครอย่างมีความสุข

ผู้เรียบเรียง
ยุพร แสงทักษิณ 
เจ้าของสิทธิ์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
รูปแบบลิขสิทธิ์
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 10170
ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงวัฒนธรรม
2021 © ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
www.sac.or.th
วันจันทร์-ศุกร์ : 08.00-17.00 น.
TELEPHONE
0-2880-9429
FAX
0-2880-9332
E-MAIL
webmaster@sac.or.th
E-MAIL (งานสารบรรณ)
saraban@sac.or.th

นิสา เชยกลิ่น

นิสา เชยกลิ่น
Content Manager

ช่องทางการรับฟังความคิดเห็น
Application : Smart SAC
ประเภท
  • วรรณคดี
  • ผู้แต่ง
  • ตัวละครและปกิณกะ
เกี่ยวกับ
  • เกี่ยวกับโครงการ
  • นโยบายการใช้งาน
ติดต่อ
  • ติดต่อเรา
  • ศมส.
  • นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
SmartSAC in App Store
SCAN ME
open in App Store
SmartSAC in Play Store
SCAN ME
open in Play Store