TLD-003-4505
สิรสากุมาร (ชื่อตัวละคร)
สิรสาชาดก ปัญญาสชาดก
สิรสากุมารเป็นตัวละครในเรื่องสิรสาชาดก ในปัญญาสชาดก เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นโอรสของพระเจ้าวัสสวดี*กับนางสุรสี*แห่งบุปผวดีนคร*
ก่อนที่นางสุรสีจะตั้งครรภ์สิรสากุมาร ฝันว่ามีบุรุษผู้หนึ่งที่กอรปด้วยมหาบุรุษลักษณะลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตพูดกับนางว่าตนไม่ใช่คนสามัญ แต่เป็นผู้ปราศจากมลทิน เป็นผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนแล้วเลื่อนเข้าสู่ครรภ์นาง โหรหลวงทำนายว่านางสุรสีจะได้พระโอรสที่ออกจากครรภ์ทางปาก เป็นพหูสูตผู้รู้แจ้งในธรรม เป็นหน่อพระพุทธเจ้า ครั้นเมื่อครบกำหนด นางก็สำรอกของเหลวออกมาทางปาก และเมื่อคลี่ผ้าออกของเหลวนั้นก็เป็นโอรสที่ผิวพรรณผุดผ่องเป็นสีทอง ให้ชื่อว่าสิรสากุมาร
สิรสากุมารสมาทานศีล 8 อยู่เป็นนิตย์ ครั้นอายุได้ 9 เดือนต้องการทดสอบว่าพระบิดาพระมารดารักตนหรือไม่ จึงอธิษฐานขอให้อำนาจแห่งศีลที่บำเพ็ญเป็นนิตย์นั้น ทำให้กายเข้าไปอยู่ในหีบแก้ว พี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายไม่เห็นสิรสากุมารจึงตกใจวิ่งหาไปทุกที่แต่ไม่พบ นางสุรสีรู้เรื่องแล้วเป็นทุกข์ยิ่ง เมื่อสิ้นหนทางได้ทดลองให้ไขกุญแจเปิดหีบแก้ว จึงพบสิรสากุมารอยู่ในนั้น
มัชชหายกะ*ผู้เป็นเสนาบดีใจคดรู้เรื่องก็วิตกว่าต่อไปสิรสากุมารต้องมีบุญญาธิการมากขึ้นตามวัย ตนคงต้องถูกจับได้ว่ารับสินบนในการตัดสินคดีความ จึงทูลยุยงพระเจ้าวัสสวดีว่าสิรสากุมารเป็นกาลกิณีเพราะออกจากครรภ์มารดาทางปากผิดกับทารกทั่วไป ต่อไปจะทำให้บ้านเมืองวินาศ พระเจ้าวัสสวดีหลงเชื่อจึงสั่งให้นำสิรสากุมารลงเรือปล่อยออกนอกเมือง นางสุรสีและบรรดาพระโอรสทั้งหกได้แก่ สุนักขัตตะ* จันทะ* สุริยะ* สุธนะ* สิงหเทพ* และกามเทพ*ได้ช่วยกันทูลทัดทานแต่ไม่เป็นผล นางสุรสีจึงลงเรือไปกับสิรสากุมารด้วย
เมื่อชาวเมืองรู้เรื่องจึงมาส่งที่ริมฝั่งมหาสมุทร เมื่อเรือถูกปล่อยทุกคนก็เศร้าเสียใจจนเป็นลมสิ้นสติ พระอินทร์ได้บันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาให้ชาวเมืองฟื้นคืนสติ นับแต่นั้นมาชาวเมืองไม่มีการเล่นมหรสพ เมืองบุปผวดีจึงเงียบเหงาปราศจากเสียงอันรื่นรมย์ดังที่เคยมีมา เพราะทุกคนต่างบำเพ็ญศีลและทำทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่สิรสากุมารและนางสุรสี
สิรสากุมารถูกลอยเรือไปพร้อมพระมารดา มีเทพคอยดูแลรักษาและขับกล่อมดุริยดนตรีโดยตลอด จนผ่านไป 4 เดือน ด้วยบุญญาธิการของสิรสากุมาร และด้วยแรงอธิษฐานของอัยยกพราหมณ์*เสนาบดีของพระราชาองค์ก่อนที่รู้เรื่องจึงปรารถนาจะให้สิรสากุมารและนางสุรสีปลอดภัยเดินทางมาถึงอัยยนคร*ของตน เรือของสิรสากุมารจึงลอยทวนกระแสน้ำผ่านเมืองบุปผวดีโดยมีเทพกำบังจนถึงอัยยนคร อัยยกพราหมณ์ได้ยินสรรพเสียงดนตรีทิพย์จึงรู้ว่าสิรสากุมารมาถึงแล้ว ให้เหล่าอำมาตย์เตรียมไปรอรับเข้าเมือง
อัยยกพราหมณ์ได้เตรียมทำถาดทองประดับรัตนะทั้งเจ็ดไว้รองรับสิรสากุมาร เมื่ออัยยกพราหมณ์สรงน้ำสุคนธ์ลงบนเศียรเกล้าของสิรสากุมาร เหล่าเทพก็ได้สรงสุคนธ์ทิพย์ลงมายังเศียรเกล้าของสิรสากุมารและมหาชนในที่นั้นด้วย จนกลิ่นสุคนธ์ทิพย์ฟุ้งไปถึงเมืองบุปผวดี และพระอินทร์ได้บันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา
กลิ่นสุคนธ์ทิพย์ที่ฟุ้งไปถึงเมืองบุปผวดีทำให้มหาชนสงสัยถามหาถึงที่มาของกลิ่นแต่ไม่อาจรู้ได้ จนพระเจ้าวัสสวดีขอให้กามเทพกุมารขี่ม้าฝีเท้าจัดไปสืบหาที่มาของกลิ่น กามเทพกุมารได้ตามกลิ่นสุคนธ์ทิพย์มาจนถึงอัยยนคร จึงได้พบสิรสากุมารและพระมารดาอยู่ ณ ที่นั้น อัยยกพราหมณ์ได้ฝากไปทูลพระเจ้าวัสสวดีว่าตนจะอภิเษกสิรสากุมารในอีก 7 วัน ถ้าประสงค์จะชมบารมีสิรสากุมารขอเชิญเสด็จด้วย กามเทพกุมารกลับไปทูลพระบิดาตามนั้น เมื่อถึงวันที่ 7 พระเจ้าวัสสวดีจึงได้เสด็จมา และได้ร่วมสรงน้ำอภิเษก วันนั้นเป็นวันแรกที่สิรสากุมารเปล่งเสียงพูดออกมา โดยได้แสดงเรื่องราวระลึกชาติว่าเหตุที่ต้องถูกปล่อยลอยเรือเพราะอกุศลกรรมในอดีตได้เป็นพระราชา เห็นนกตัวหนึ่งจิกดอกไม้ในสวนหลวงจึงจับนกนั้นใส่แพท่อนกล้วยลอยในมหาสมุทร ต่อจากนั้นจึงได้แสดงธรรมเรื่องการคบคนดีย่อมไปสู่สวรรค์ การคบคนพาลย่อมไปสู่นรก เมื่อแสดงธรรมจบ เทพได้โปรยปรายดอกไม้ทิพย์เป็นเครื่องสักการะธรรม
เทพธิดา 2 องค์ได้มาพร้อมกับวิมานเชิญสิรสากุมารไปสู่สวรรค์ สิรสากุมารจึงลาพระมารดาขึ้นวิมานไป เมื่อพระมารดาจะขอตามไป สิรสากุมารกล่าวว่าพระมารดามีวิมานรออยู่แล้ว แต่ต้องรักษาศีลเจริญภาวนาก่อน ไม่สามารถไปได้ในตอนนี้ เมื่อสิรสากุมารอันตรธานไปพร้อมกับวิมาน พระบิดาพระมารดาและมหาชนทั้งหลายต่างพากันเศร้าสลดจนหมดสติ เหล่าเทพเห็นเช่นนั้นก็สงสารจึงไปเฝ้าสิรสากุมารทูลว่าถ้าไม่กลับไปพระมารดาคงถึงแก่ชีวิต สิรสาคงจะต้องตกนรก สิรสากุมารได้ฟังแล้วจึงอธิษฐานให้ไปปรากฏกายอยู่บนตักพระมารดา
ฝ่ายเทพอัปสรบริวารของสิรสากุมารพาวิมานมารออยู่เบื้องบนอากาศ เทพธิดาที่เป็นหัวหน้า 2 องค์ ได้แก่ นันทสิริ*และสิตตา*ได้อุ้มสิรสากุมารรูปทารกมาไว้ที่บัลลังก์ในรัตนวิมาน แต่นางทั้งสองเห็นสิรสากุมารในรูปที่เป็นเทพบุตรหนุ่มที่ผิวพรรณดังแสงอาทิตย์แรกขึ้น งดงามอยู่ท่ามกลางอัปสร จากนั้นวิมานก็ลอยขึ้นไป พระบิดาพระมารดาซึ่งโศกเศร้าเสียใจที่เห็นสิรสากุมารจากไปอีกครั้งจึงรำพันอ้อนวอนขอให้สิรสากุมารกลับมา เมื่อสิรสากุมารได้ยินจึงคิดว่าตนเองเกิดในโลกมนุษย์แต่ยังไม่ได้มีโอกาสบำเพ็ญทานบารมีและเนกขัมมบารมี สมควรจะได้บำเพ็ญบารมีทั้งสองให้บริบูรณ์ก่อน คิดดังนั้นจึงจุติในทันใดแล้วเกิดเป็นอุปปาติกะมีร่างกายเท่าบุรุษอายุ 20 ปี ในขณะเดียวกันแก้วทั้งเจ็ดที่เป็นเครื่องหมายของจักรพรรดิก็บังเกิดพร้อมกันด้วย พระเจ้าสิรสาจึงได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่ทรงธรรม โปรดให้สร้างโรงทาน 10 โรง ทรงบริจาคทานและรักษาศีลเป็นนิตย์ เมื่อชราได้ออกบวชเป็นฤๅษีบำเพ็ญเนกขัมมบารมีจนได้ฌานสมาบัติ เมื่อสิ้นอายุก็ไปเกิดยังพรหมโลก
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory