TLD-003-5352
อิเหนา 1 (ชื่อตัวละคร)
อิเหนา หรือระเด่นมนตรี*เป็นตัวละครในบทละครเรื่องดาหลัง เป็นโอรสท้าวกุเรปัน*กับประไหมสุรี มีอนุชาชื่อจะหรังกะหนังโหละ* มีโอรสที่เกิดจากนางจินตะหราวาตี* ชื่อระเด่นกุสุมาหรา* โอรสที่เกิดจากนางหยังหยังส่าหรี* ชื่อระเด่นกุดาสมาหรัน* อิเหนามีชายาหลายคน เช่น นางเกนบุษบาส่าหรี* นางบุษบาก้าโละ* นางจินตะหราวาตี นางหยังหยังส่าหรี* ฯลฯ
เมื่ออิเหนาเกิด ปะตาระกาหลา*ซึ่งเป็นเทพอัยกาลงมาประทานกริชจารึกชื่อให้ พระบิดาสู่ขอนางบุษบาก้าโละธิดาท้าวดาหา*ให้เป็นคู่หมั้นของอิเหนาตามประเพณีของวงศ์เทวา และประทานนางดุหรีดรสา*ให้เป็นชายา ต่อมาอิเหนาไปประพาสป่าได้พบนางเกนบุษบาส่าหรีหญิงชาวไร่ก็หลงรักและขอนางจากมารดา สร้างพลับพลาอยู่กับนางในป่า รุ่งเช้าก็ไปเฝ้าพระบิดาตามหน้าที่ ท้าวกุเรปันเห็นว่าอิเหนามีอายุสมควรที่จะเสกสมรสจึงส่งสารไปถึงท้าวดาหา และสั่งให้อิเหนาเตรียมการวิวาห์ แต่อิเหนาบิดพลิ้วแสร้งทำลืมถึง 3 ครั้ง เมื่อท้าวกุเรปันทราบว่าสาเหตุที่อิเหนาขัดพระบัญชา เพราะไปหลงหญิงชาวไร่ก็กริ้ว สั่งให้ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ไปประหารนาง โดยทำอุบายสั่งให้อิเหนาไปล่าเนื้อมาถวาย
อิเหนารู้ว่านางเกนบุษบาส่าหรีถูกฆ่าก็เศร้าโศกเสียใจถึงกับสลบไปหลายครั้ง เมื่อฟื้นขึ้นก็โกรธที่พระบิดาฆ่านาง จึงไม่คิดกลับกรุงกุเรปัน พาพี่เลี้ยงและไพร่พลล่องแพไปขึ้นที่เกาะใหญ่แห่งหนึ่ง อิเหนาและไพร่พลปลอมตนเป็นปันจุเหร็จ (โจรป่า) ทุกคนเปลี่ยนชื่อหมด อิเหนาใช้ชื่อว่ามิสากุหนุงปันหยี* แต่เรียกสั้นๆ ว่าปันหยี* ที่เกาะนี้ ปันหยีได้พบนางบุษบาส่าหรี*ธิดาระตูปันจะรากัน*ซึ่งตามบิดามาใช้บน เมื่อได้เห็นนาง ปันหยีก็คลายโศกถึงนางเกนบุษบาส่าหรีทันที เพราะนางทั้งสองหน้าตาเหมือนกัน ปันหยีอุ้มนางมาที่อยู่ของตน ระตูปันจะรากันยอมยกธิดาให้โดยดีแม้ว่านางจะมีคู่หมั้นแล้ว เพราะพระฤๅษีห้ามสู้รบกับวงศ์เทวา ปันหยีไม่คิดเปิดเผยฐานะที่แท้จริง ปันหยียกทัพมาถึงเมืองของท้าวสัจอุหนู*บิดาของสุหรากันตา*ซึ่งเป็นคู่หมั้นของนางบุษบาส่าหรี ปันหยีส่งสารให้ท้าวสัจอุหนูออกมาอ่อนน้อม ท้าวสัจอุหนูและโอรสไม่ยอม เกิดต่อสู้กัน ปันหยีจึงประหารทั้งสองพ่อลูกแล้วเดินทัพต่อไป เมื่อถึงเมืองปักมาหงัน* ระตูปักมาหงันยกธิดาคือระเด่นกัติกาส่าหรี*ให้ ตลอดการเดินทางได้เมืองต่างๆ พร้อมเครื่องบรรณาการ เมื่อถึงเมืองปันจะรากัน* ระตูปันจะรากันจัดการอภิเษกปันหยีกับนางบุษบาส่าหรีและนางกัติกาส่าหรี
ขณะที่อยู่เมืองปันจะรากัน ข่าวความเก่งกล้าของปันหยีเลื่องลือไปทั่ว ระตูมะงาดา*จึงทำอุบายลวงให้ปันหยีไปถอนหลักศิลา*ที่เมืองบาณุหลัน* ปันหยีคิดว่าตนเป็นคนเก่งไม่เกรงกลัวสิ่งใดจึงเดินทางไปตามคำเชิญของระตูมะงาดา ระตูมะงาดาจัดเรือให้ปันหยีเดินทางไปถอนหลักศิลา เป็นเรือที่ใส่สลักไว้ใต้ท้องเรือ เมื่อถอนหลักศิลาสำเร็จขณะเดินทางกลับ ระตูมะงาดาส่งคนมาถอดสลักจากเรือกลางดึกทำให้น้ำเข้าจนเรือจม ปันหยีและไพร่พลต้องลอยคออยู่ในน้ำถึง 3 วัน 3 คืน ปันหยีพลัดกับไพร่พล เหลือเพียงประสันตา*พี่เลี้ยงหรือมิสามะงาหรัด* ปะตาระกาหลาช่วยบันดาลให้น้ำตื้นพอหยั่งถึง
เมื่อปันหยีและมิสามะงาหรัดขึ้นฝั่งได้ ปันหยีรู้สึกแค้นใจและอับอายมากที่เสียรู้ระตูมะงาดา คิดจะกลั้นใจตายให้พ้นอาย พี่เลี้ยงจึงปลอบให้คิดสู้โดยหาโอกาสมาแก้แค้น ทั้งสองเดินทางมาจนถึงเมืองณุสาตัน* เมืองนี้เป็นเมืองที่มีแต่ผู้หญิงล้วน นางพญาณุสาตัน*รับปันหยีไว้เป็นสามี ส่วนมิสามะงาหรัด*นั้นถูกพวกเสนาอำมาตย์หญิงทั้งหลายแย่งกันพาไปบ้านของตน จนมิสามะงาหรัดไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้จึงขอให้ปันหยีหนีไปด้วยกัน ปันหยีออกอุบายลานางพญาไปล่าสัตว์แล้วหนีไปกับมิสามะงาหรัด
ปันหยีและมิสามะงาหรัดเดินทางไปจนถึงเมืองดาหา* ทั้งสองได้ไปอาศัยอยู่กับหญิงม่ายชื่อนางบิบี๋หรังดี*ซึ่งรับทั้งสองไว้เป็นบุตรบุญธรรม ปันหยีมอบแหวนให้นางบิบี๋หรังดีนำไปขายและให้หาซื้อหนังสัตว์มาให้ นางไม่รับแหวนแต่จัดหาหนังสัตว์มาให้ตามต้องการ ปันหยีแกะสลักให้เป็นตัวหนังที่งดงามแล้วจัดแสดงขึ้น ปันหยีเปลี่ยนสถานะของตนเป็นดาหลัง (นักพากย์หนัง) แต่งเรื่องแต่งบทเองทั้งหมด ชาวเมืองดาหาพากันติดใจภาพหนังและฝีปากการพากย์ของดาหลังและเมื่อได้เห็นตัวดาหลัง ทุกคนก็หลงใหลในความสง่างาม เลื่องลือกันไปจนปาเตะเสนาผู้ใหญ่ให้ไปแสดงที่บ้าน ปาเตะเห็นท่วงท่าของดาหลังแล้วสงสัยว่าจะเป็นเชื้อวงศ์กษัตริย์ปลอมตัวมา การแสดงหนังเป็นที่พอใจของผู้ชม ปาเตะไปทูลท้าวดาหาว่ามีหนังต่างเมืองมาแสดง ท้าวดาหาจึงให้ดาหลังไปแสดงถวายในวัง
ระหว่างที่ดาหลังพากย์หนังอยู่นั้นก็นึกถึงนางบุษบาก้าโละคู่หมั้นว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรเพราะทางด้านผู้ดูหนังนั้นมืดสนิท ปะตาระกาหลาทรงทราบจึงเนรมิตองค์เป็นลิปาง (ตะขาบ) เลื้อยเข้าหานางบุษบาก้าโละทำให้นางตกใจร้องขึ้น พี่เลี้ยงจึงจุดไฟส่องหา แสงไฟนั้นทำให้ดาหลังเห็นโฉมนางได้อย่างชัดเจน ดาหลังหลงรักนางในทันทีถึงกับฟั่นเฟือนเปลี่ยนบทชมป่าเป็นชมนาง พี่เลี้ยงต้องสะกิดจึงกลับไปพากย์บทเดิม
ดาหลังลอบเข้าไปหานางบุษบาก้าโละถึงห้องบรรทม นางไม่กล้าบอกใครเพราะเกรงจะถูกครหาว่ามีผู้ชายมาหาถึงในห้อง ดาหลังไม่เปิดเผยตนแต่แสร้งพูดกระทบกระเทียบถึงระเด่นมนตรีคู่หมั้นของนาง ต่อมาระตูปะตาหน*ขอตุนาหงันกับนางบุษบาก้าโละ ท้าวดาหายกให้เพราะกริ้วอิเหนาจึงกำหนดวันวิวาห์โดยเร็ว บุษบาก้าโละสงสัยว่าดาหลังคืออิเหนาแต่ก็ไม่แน่ใจ และเมื่อดาหลังส่งกริชให้ดู นางก็ไม่ยอมดู แต่นางบอกดาหลังว่านางจะต้องแต่งงานกับระตูปะตาหนในอีก 5 วัน ดาหลังก็ยังแกล้งพูดว่าตนเป็นคนต่ำต้อยให้นางแต่งงานไปเถิด แล้วบอกว่าขอลาไป 5 วัน ดาหลังเข้าป่าไปขอเรียนเวทกับพระฤๅษีแล้วกลับมากรุงดาหาลอบเข้าไปในกองทัพของระตูปะตาหน ใช้กริชแทงระตูปะตาหนตายขณะบรรทมหลับ
อนุชาทั้งสองของระตูปะตาหนโกรธมากและแน่ใจว่าผู้ที่มาลอบฆ่าระตูปะตาหนอาจจะเป็นผู้ที่ลอบสมัครรักใคร่อยู่กับนางบุษบาก้าโละ จึงทูลท้าวดาหาขอให้นางเข้าพิธีแบหลา (ซึ่งเป็นพิธีให้ภรรยาโจนเข้ากองไฟตายตามสามี) ในพิธีเผาศพระตูปะตาหน ท้าวดาหาไม่ทันคิดก็อนุญาต พี่เลี้ยงทั้งสี่ของนางบุษบาก้าโละขอตายไปพร้อมกับนางด้วย นางบุษบาก้าโละขอให้ปะตาระกาหลาช่วย ปะตาระกาหลาเนรมิตบัวกลดห่อหุ้มนางทั้งห้าลอยขึ้นจากกองไฟแล้วใส่รถแก้วเหาะไปโดยไม่มีใครเห็น ทุกคนรวมทั้งดาหลังเห็นแต่ภาพที่บุษบาก้าโละและพี่เลี้ยงทั้งสี่โจนเข้ากองไฟ จึงเข้าใจว่านางทั้งห้าเสียชีวิต ดาหลังเสียใจจนสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นก็ฟั่นเฟือนจนมิสามะงาหรัดต้องพาไปหลบในป่า
ดาหลังหรือปันหยีเสียสติคลุ้มคลั่งเห็นต้นไม้เป็นนางบุษบาก้าโละ มิสามะงาหรัดต้องคอยดูแลตลอดเวลา ทั้งสองคนอดอยากจนซูบผอม ฝ่ายจินตระวันหนา*โอรสท้าวสิงหัดส่าหรี*ญาติผู้น้องของอิเหนาหรือดาหลังยกทัพออกตามหาอิเหนามาเป็นเวลานานก็ยังไม่พบ จึงขอให้ปะตาระกาหลาช่วย ปะตาระกาหลามาเข้าฝันบอกให้ตามไปช่วยในป่านอกกรุงดาหา จินตระวันหนาไปช่วยดาหลังหรืออิเหนาได้สำเร็จ เดินทัพต่อไปพบกับทัพของอนุชาอิเหนาคือจะหรังกะหนังโหละซึ่งปลอมเป็นโจรป่าใช้ชื่อว่ากุดาวิราหยา* อนุชาทั้งสองจึงพาปันหยีไปหาพระฤๅษีให้รดน้ำมนตร์ให้และบวชกันทั้ง 3 คน ปะตาระกาหลารู้ว่านัดดาจะบวชก็ลงมาเนรมิตอาศรมให้คนละหลัง บวชแล้วอิเหนาใช้ชื่อว่าหลังหลังหนึ่งหรัด*และมีอาการดีขึ้น
ส่วนบุษบาก้าโละนั้นเมื่อปะตาระกาหลาช่วยนางพ้นจากกองไฟแล้วก็บันดาลให้นางและพี่เลี้ยงกลายเป็นผู้ชาย และสาปว่าต่อเมื่อใดนางจำอิเหนาได้ก็จะกลับเป็นหญิงตามเดิม พร้อมทั้งให้พรนางให้อยู่ยงคงกระพัน นางและพี่เลี้ยงช่วยกันต่อสู้กับอนุชาระตูปะตาหน ประหารเสียทั้ง 2 คนแล้วได้ครองเมืองปะตาหน* บุษบาก้าโละมีชื่อในร่างบุรุษว่ามิสาประหมังกุหนิง* นางนึกถึงแต่ดาหลังว่าเป็นผู้ใด ปะตาระกาหลาจึงมาเข้าฝันบอกว่าดาหลังคืออิเหนา ขณะนี้ฟั่นเฟือนอยู่ในป่าให้รีบไปช่วย มิสาประหมังกุหนิงจึงยกทัพไป
ระหว่างที่ปันหยีหรือหลังหลังหนึ่งหรัดบวชอยู่จนหายจากอาการสติฟั่นเฟือนแล้วนั้น ธิดาระตูปัตหรำ*ชื่อนางจินตะหราวาตีเกิดฝันว่าได้พบและ “ร่วมสมัครสโมสร” กับฤๅษีหลังหลังหนึ่งหรัด เมื่อตื่นขึ้นนางก็คร่ำครวญและรบเร้าให้บิดาพาหลังหลังหนึ่งหรัดมาให้นาง ระตูปัตหรำต้องทำพิธีบวงสรวงขอให้เทพารักษ์ช่วย เทพารักษ์ส่งเหยี่ยวลงอักขระที่ลิ้นมาล่อฤๅษีหลังหลังหนึ่งหรัดให้ตามไปจนถึงปราสาทของนางจินตะหราวาตี อนุชาทั้งสองไม่ทราบว่าปันหยีหายไปไหนจึงลาบวชแล้วยกทัพเที่ยวตามหา ฝ่ายหลังหลังหนึ่งหรัดก็ลาบวชอยู่ร่วมกับนางจินตะหราวาตี ใช้ชื่อปันหยีดังเดิม ปันหยีอยู่กับนางจินตะหราวาตีจนนางมีครรภ์ได้ 5 เดือน ปันหยีระลึกถึงบุษบาก้าโละและอนุชาทั้งสองจึงออกอุบายลาไปล่าเนื้อโดยอ้างว่าตนเป็นโจรป่าต้องล่าสัตว์ ปันหยีเดินทางไปพร้อมด้วยกองทัพที่มีตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่กำกับมาด้วย ปันหยีแจ้งกับตำมะหงงว่าตนจะไปตามน้องชาย ตำมะหงงขอตามไปด้วย
ปันหยีเดินทางไปจนถึงเมืองหมันหยาปาเอ็ด*จึงคิดจะปลอมตัวเข้าไปในเมืองเพื่อสืบข่าวอนุชา ปันหยีให้ทหารหาหนังวัวมาให้จัดแกะสลักหนัง ให้ตำมะหงงดูแลไพร่พลในป่า ตนไปกับเสนากลุ่มเล็ก ๆ เข้าไปแสดงหนังในเมืองโดยกลับมาเป็นดาหลังอีกครั้ง ครั้งนี้ดาหลังใช้ชื่อว่าอะหลังรัศมี* ดาหลังได้ชื่อเสียงว่าพากย์หนังได้ไพเราะ ระตูเจ้าเมืองจึงให้มาแสดงให้ดู
เมืองหมันหยาปาเอ็ดนี้ ระตูเจ้าเมืองคนเก่าสิ้นชีพ ขุนนางผู้ใหญ่ขึ้นเป็นระตูแทน ได้มเหสีเจ้าเมืองเดิมมาเป็นมเหสีของตน มเหสีมีโอรสกับเจ้าเมืองคนเดิม 1 คน คือ ระเด่นบรบังติกาหรา* และมีโอรสกับเจ้าเมืองคนใหม่อีก 2 คน เมื่อแรกโอรสทั้งสามรักกันดี วันหนึ่งทั้งสามไปล่าสัตว์ ระเด่นบรบังติกาหลาถูกกวางขวิดที่พระเพลาเจ็บปวดสาหัสพลัดกับไพร่พล ไม่มีผู้ใดสนใจตามหา อนุชาทั้งสองกลับเมืองก็มิได้ทูลพระบิดามารดา ระเด่นบรบังติกาหรามีแต่พี่เลี้ยงกับคนรับใช้ 7 คนช่วยพากลับเมือง ไม่มีใครดูแลช่วยรักษาพยาบาลจึงคิดแค้นระตูคนใหม่มาก ส่วนระตูหมันหยาสนใจทอดพระเนตรหนังมาก ติดใจดาหลัง ประทานรางวัลจ้างให้มาเล่นทุกคืน ดูติดต่อกันมาถึง 15 วัน
ระเด่นบรบังติกาหราว่าจ้างนักโทษ 4 คน ผู้เคยเป็นข้าของพระบิดาคือระตูองค์เก่า มอบกริชให้ทั้ง 4 คนไปลอบฆ่าระตูเจ้าเมือง ฝ่ายนางเกนประลาหงู*สนมของระตูเจ้าเมืองเกิดหลงรักดาหลัง จึงเอาผ้าห่อดอกไม้ปาไปให้ถูกดาหลัง ดาหลังรู้ตัวแต่ไม่ยอมหันไปมอง พวกเถ้าแก่ในวังจึงไปฟ้องโอรสทั้งสองของระตู โอรสระตูสั่งขังนางแล้วปรึกษากันว่าไม่ควรทูลพระบิดาเพราะระตูโปรดปรานดาหลังมาก โอรสระตูคิดว่าดาหลังมีท่วงทีองอาจหลักแหลม ต่อไปอาจมีปัญหาได้จึงสั่งคนให้ไปล้อมโรงหนังจับตัวไปฆ่าในป่า คืนเดียวกันนั้นเองนักโทษทั้งสี่ก็เข้าไปลอบแทงระตูสิ้นชีพ ดาหลังพากย์หนังอยู่รู้ว่ามีคนจะเข้ามาทำร้ายจึงอธิษฐานให้ปะตาระกาหลาช่วย ปะตาระกาหลาก็บันดาลให้ฟ้ามืด
แล้วช้อนพาโรงหนังพระภูมี ลอยเลื่อนจากที่ขึ้นเบื้องบน
พระพากย์บทเจื้อยแจ้วจับจิต อยู่ในบุรพทิศเวหน
ประจักษ์แก่นัยนาทั้งสากล ประชาชนอัศจรรย์ทั้งธานี
เมื่อเกิดเหตุร้ายดังกล่าวระเด่นบรบังติกาหราและโอรสทั้งสองของระตูก็ต่อสู้กันจนตายไปทั้ง 3 คน เสนาจึงประชุมกันเพื่อหาเจ้าเมืองใหม่ ยาสาเสนาผู้ใหญ่เสนอให้เชิญดาหลังขึ้นครองเมืองเพราะมีบุญญานุภาพเป็นที่ประจักษ์ ที่ประชุมเห็นชอบจึงจัดราชรถไปรับและเชิญดาหลังให้ครองเมือง ดาหลังได้ยินก็ทูลพระอัยกาปะตาระกาหลา ปะตาระกาหลาพาดาหลังและโรงหนังลอยลงมาตรงราชรถ ดาหลังรับเชิญขึ้นครองเมืองและได้อภิเษกกับนางหยังหยังส่าหรีธิดาระตูหมันหยา และตั้งให้นางเกนประลาหงูเป็นสนมเอก
ระหว่างที่ดาหลังหรือปันหยีครองเมืองหมันหยาปาเอ็ดนั้น จะหรังกะหนังโหละอนุชาและชายาทั้งสองของปันหยีคือนางบุษบาส่าหรีและนางกัติกาส่าหรีได้ติดตามมาถึงเมืองนี้จึงได้พบกับปันหยี จะหรังกะหนังโหละใช้ชื่อกุดาวิราหยาแจ้งว่านางบุษบาก้าโละยังมีชีวิตอยู่เพราะตนได้พบที่เมืองกาหลัง ทำให้ปันหยีดีใจมากคิดจะไปตามหานาง
ส่วนนางจินตะหราธิดาท้าวปัตหรำประสูติโอรสของปันหยี ให้ชื่อว่าระเด่นกุสุมาหรา นางหยังหยังส่าหรีมีโอรสชื่อระเด่นกุดาสุมาหรัน เมื่อระเด่นกุสุมาหราอายุได้ 9 ปี ออกติดตามไปหาบิดาคือปันหยีที่เมืองหมันหยาปาเอ็ด ปันหยีส่งกองทัพไปสืบข่าวนางบุษบาก้าโละหรือมิสาประหมังกุหนิง โดยให้รบรุกเมืองต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ หากพบนางให้แจ้งข่าวมา ทัพของปันหยีไปตีเมืองมงกล*แต่เห็นเหลือกำลังจึงขอให้ปันหยีไปรบเอง ปันหยีและกุดาวิราหยาพร้อมโอรสคือระเด่นกุสุมาหราไปรบกับท้าวมงกล*ไม่แพ้ไม่ชนะกัน ตอนกลางคืนปันหยีลอบเข้าไปในค่ายท้าวมงกล สะกดให้หลับทั้งกองทัพแล้วคลายมนตร์ให้ทุกคนได้เห็นกายนิมิตเป็นช้างขนาดมหึมาเพื่อให้ตกใจกลัว ระเด่นมังกัน*โอรสท้าวมงกลจึงตอบโต้ด้วยการลอบไปเผาค่ายปันหยี กุดาวิราหยาและระเด่นกุสุมาหราออกไปบัญชาการดับไฟ ถูกท้าวมงกลใช้เชือกมนตร์*มัดไปทั้งสองคน ท้าวมงกลผิดหวังมากเพราะต้องการจะจับปันหยี ฝ่ายปันหยีเมื่อรู้ว่าอนุชาและโอรสถูกจับไปก็เสียใจมาก เข้าป่าไปด้วยความโกรธแค้นเทวดาที่ให้เชือกมนตร์ท้าวมงกล เมื่อผ่านลำธารพบจระเข้ซึ่งเป็นเทวดาถูกสาปมารอให้เชื้อวงศ์เทวาฆ่าเพื่อจะได้กลับไปเป็นเทวดาตามเดิม จระเข้แกล้งเนรมิตกายใหญ่ท้าทายปันหยี เมื่อปันหยีฆ่าตาย จระเข้ก็กลับเป็นเทวดา เทวดาต้องการตอบแทนบุญคุณจึงถามสาเหตุที่ปันหยีเข้ามาในป่า ปันหยีเล่าเรื่องแล้วขอเชือกมนตร์จากเทวดา ปันหยีลอบเข้าไปในเมือง ร่ายเวทกำบังตนช่วยอนุชาและโอรสออกมาได้ รุ่งขึ้นท้าท้าวมงกลทำยุทธหัตถีแล้วใช้เชือกมนตร์มัดท้าวมงกลกับโอรสมาประหาร
ปันหยีประสงค์จะไปตามหานางบุษบาก้าโละหรือมิสาประหมังกุหนิงจึงอภิเษกโอรสขึ้นครองเมืองมงกล ระหว่างรอการทำพิธี มิสาประหมังกุหนิงซึ่งได้ทราบแล้วว่าปันหยีอยู่ที่เมืองมงกล ก็ส่งสารมาถึงขออนุญาตยกทัพผ่านเมืองมงกลโดยอ้างว่าจะไปตีกรุงกาหลัง* ปันหยีรู้อยู่แล้วว่ามิสาประหมังกุหนิงคือบุษบาก้าโละจึงตอบสารอนุญาต และยังบอกด้วยว่าอีก 7 วันจะยกทัพตามไปช่วยรบ นางบุษบาก้าโละไปถึงกาหลัง คอยอยู่ 7 วันก็ยังไม่พบปันหยี ปันหยีไปกับจะหรังกะหนังโหละอนุชา แต่แสร้งปลอมตนเป็นกระเทยชื่อสะระหนากะดี* อ้างว่าเป็นเชลยของกุดาวิราหยา มิสาประหมังกุหนังพบสะระหนากะดีก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนวันหนึ่งสะระหนากะดีไม่แต้มแป้งปิดไฝแดงที่หว่างคิ้ว จึงจำได้ว่าเป็นดาหลังซึ่งก็คืออิเหนา ในทันทีที่จำได้ ร่างกายของนางและพี่เลี้ยงก็กลับเป็นสตรี นางบุษบาก้าโละเกิดความละอายเกรงจะถูกนินทาว่าเป็นหญิงมาเที่ยวตามหาผู้ชายจึงหนีไปบวชชีพร้อมพี่เลี้ยง ปะตาระกาหลามาเนรมิตอาศรมให้ อิเหนาตามไปพบและขอให้นางลาบวชโดยบอกว่า
พี่ติดตามทรามสวาทให้ขาดรัก อกจะหักด้วยไม่พบขนิษฐา
สิ้นกรรมได้ทำไว้ด้วยกันมา แต่จะผาสุกจนม้วยมรณ์
จะหรังกะหนังโหละอนุชาเห็นว่าทุกคนได้พบกันแล้วจึงส่งสารไปทูลพระบิดาทั้งท้าวกุเรปัน ท้าวดาหา และท้าวสิงหัดส่าหรีให้มาพบโอรสธิดาที่เมืองกาหลัง
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory