TLD-003-5353
อิเหนา 2 (ชื่อตัวละคร)
อิเหนา หรือระเด่นมนตรี*เป็นตัวละครในบทละครเรื่องอิเหนา เป็นโอรสท้าวกุเรปัน*กับประไหมสุหรี ในวันสมโภชเดือนของอิเหนา ปะตาระกาหลา*ซึ่งเป็นเทพอัยกาได้นำกริชมีชื่อจารึกมาวางไว้ให้ อิเหนามีขนิษฐาชื่อนางวิยะดา*
อิเหนาได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธต่าง ๆ เพื่อการต่อสู้ตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งยังฝึกซ้อมทุกวันจึงเป็นผู้มีฝีมือกล้าแข็ง และเมื่อท้าวดาหา*อนุชาของท้าวกุเรปัน*มีธิดากับประไหมสุหรีชื่อบุษบา* ท้าวกุเรปันก็ขอนางให้เป็นคู่ตุนาหงันกับอิเหนาตามจารีตของวงศ์เทวา เมื่ออิเหนามีชันษา 15 ปี พระอัยกีที่เมืองหมันหยา*สิ้นพระชนม์ ท้าวกุเรปันส่งอิเหนาเป็นผู้แทนพระมารดาไปงานพระศพเนื่องจากประไหมสุหรีทรงครรภ์อยู่ อิเหนาได้พบนางจินตะหรา*ธิดาประไหมสุหรีหมันหยาซึ่งเป็นพระเจ้าน้าของอิเหนา อิเหนาหลงรักนางอย่างมากจนไม่ยอมกลับกรุงกุเรปัน ท้าวกุเรปันทราบเรื่องจึงเรียกกลับโดยอ้างว่าพระมารดาใกล้จะประสูติ เมื่อกลับถึงเมืองกุเรปัน ประไหมสุหรีประสูติธิดาแล้วคือนางวิยะดา อิเหนาเศร้าโศกเพราะคิดถึงจินตะหรา ท้าวกุเรปันคิดจะแก้ไขด้วยการจัดพิธีวิวาห์ให้อิเหนา จึงส่งสารไปกรุงดาหาขอนัดการวิวาห์กับนางบุษบา ท้าวดาหาขอเวลาตกแต่งพระนคร 3 เดือน อิเหนารู้เรื่องการแต่งงานก็ไม่พอใจ จึงทำอุบายทูลลาพระบิดาไปเที่ยวป่าเพื่อจะเดินทางไปเมืองหมันหยา อิเหนาให้ผู้ติดตามทุกคนปลอมเป็นโจรป่า เปลี่ยนชื่อกันทั้งหมด อิเหนาใช้ชื่อว่ามิสารปันหยี* แต่เรียกกันว่าปันหยี* กองทัพของปันหยีเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองหมันหยา ระหว่างทางแวะพักตั้งพลับพลาที่ภูเขาปะราปี*
ฝ่ายประสันตา*พี่เลี้ยงของอิเหนาไปต่อนก ระหว่างนั้นได้เกิดวิวาทกับไพร่พลของระตูบุศสิหนา*และต่อสู้กันบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ระตูบุศสิหนาเพิ่งจะเสร็จพิธีวิวาห์ เดินทางกลับมากับเชษฐาทั้งสองคือ ระตูปันจะรากัน*และระตูปักมาหงัน* ระหว่างทางแวะตั้งค่ายพักอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาปะราปี เชษฐา 2 องค์ไปนมัสการพระฤๅษี ระตูบุศสิหนาได้ทราบว่าทหารของตนถูกทำร้ายก็กริ้วยกทัพตามมาเพื่อจะฆ่าโจรป่า แม้อิเหนาจะกริ้วที่ประสันตาก่อเรื่องแต่ก็พอใจที่จะได้สู้ศึกสงครามจริงเป็นครั้งแรก
ทัพของระตูบุศสิหนาและทัพของปันหยีได้สู้รบกัน ระตูบุศสิหนาและปันหยีต่อสู้กันด้วยเพลงทวน ปันหยีแสร้งทำเป็นหนีให้ศัตรูรุกไล่ พอได้โอกาสก็แทงระตูบุศสิหนาจนตกม้าสิ้นชีพ เชษฐาทั้งสองกริ้วมากจะยกทัพมาแก้แค้นแต่ฤๅษีสังปะติเหงะทัดทานไว้และบอกให้รู้ว่ากองทัพนั้นเป็นทัพของอิเหนาซึ่งเป็นวงศ์เทวา หากระตูหาญไปต่อสู้จะต้องเสียชีวิต ระตูทั้งสองจึงยอมอ่อนน้อมต่ออิเหนา ระตูปันจะรากันถวายธิดาคือนางสการะวาตี* ส่วนระตูปักมาหงันถวายธิดาชื่อมาหยารัศมี*และโอรสชื่อสังคามาระตา* อิเหนารับไว้และเลี้ยงดูสังคามาระตาในฐานะอนุชาทั้งฝึกสอนเพลงอาวุธให้ด้วย
ชัยชนะของอิเหนาครั้งนี้เลื่องลือไปทั่ว เมื่อเดินทัพผ่านเมืองใดเจ้าเมืองก็ยอมอ่อนน้อม อิเหนาจึงได้เมืองขึ้นรวม 4 เมือง ครั้นไปถึงเมืองหมันหยา อิเหนาก็ได้นางจินตะหราเป็นชายาสมปรารถนา รวมทั้งนางสการะวาตีและนางมาหยารัศมีด้วย อิเหนาอยู่เป็นสุขกับนางทั้งสามที่เมืองหมันหยา เมื่อท้าวกุเรปันเรียกกลับอิเหนาก็ผัดผ่อนเรื่อยไป
ฝ่ายท้าวดาหาจัดแต่งพระนครงดงามแล้วก็แจ้งให้ท้าวกุเรปันทราบ ท้าวกุเรปันส่งสารไปตามอิเหนาให้ไปแต่งงาน อิเหนาปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ท้าวดาหากริ้วมากจึงประกาศว่าถ้าใครมาขอนางบุษบาก็จะยกให้ โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ตระกูลอีกต่อไป เมื่อระตูจรกา*มาสู่ขอนางบุษบา ท้าวดาหาจึงยกให้
ต่อมาระตูกะหมังกุหนิง*ส่งสารและเครื่องบรรณาการไปขอนางบุษบาให้วิหยาสะกำ*โอรส ท้าวดาหาปฏิเสธเพราะยกนางให้จรกาไปแล้ว ระตูกะหมังกุหนิงรักและสงสารโอรสมาก จึงตัดสินใจทำสงครามเพื่อชิงนาง แม้อนุชาทั้งสองจะทัดทานว่าไม่ควรต่อสู้กับวงศ์เทวา ท้าวกะหมังกุหนิงก็ไม่เชื่อฟัง ยกทัพมาตีกรุงดาหา
ศึกกะหมังกุหนิงทำให้วงศ์เทวาทั้งหลายต้องมาร่วมกันช่วยรบ ท้าวกุเรปันส่งสารถึงอิเหนาสั่งให้รับผิดชอบ ทั้งยังว่ากล่าวอย่างรุนแรงถึงขั้นตัดขาดหากอิเหนาไม่ไปช่วยเมืองดาหา อิเหนาจำเป็นจำใจต้องยกทัพจากเมืองหมันหยาเดินทางไปกรุงดาหา ระหว่างทางก็เศร้าโศกคร่ำครวญถึง สามนาง แต่เมื่อยกทัพมาถึงเมืองดาหา อิเหนาก็พร้อมที่จะรบ และให้เสนาผู้ใหญ่ไปกราบทูลท้าวดาหาอย่างนอบน้อมว่าจะขอสู้ศึกแก้ตัวก่อน เมื่อชนะศึกแล้วจึงจะเข้าไปเฝ้า
เมื่อกองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน สังคามาระตาต่อสู้กับวิหยาสะกำก่อน วิหยาสะกำเสียทีถูกสังคามาระตาใช้ทวนแทงตกจากหลังม้าสิ้นชีวิต ระตูกะหมังกุหนิงต่อสู้กับอิเหนา อิเหนาสังเกตว่าระตูกะหมังกุหนิงใช้อาวุธทั้งหอกและกระบี่ได้เก่งมาก ทั้งยังคงกระพันฟันแทงไม่เข้า อิเหนาจึงตัดสินใจท้ารบด้วยกริชเพราะหวังจะใช้เทพอาวุธช่วย ในที่สุดอิเหนาก็สามารถสังหารระตูกะหมังกุหนิงได้ ระตูอนุชาทั้ง 2 องค์จึงยอมอ่อนน้อมแก่อิเหนา
อิเหนาเข้าเฝ้าท้าวดาหา ท้าวดาหายังกริ้วอยู่แต่ก็ยินดีที่ชนะสงครามสั่งให้นางบุษบาออกมาไหว้อิเหนา เมื่อได้เห็นนางบุษบา อิเหนาก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างและลืมองค์เผลอขับเพลงชมโฉมนาง อิเหนาเศร้าโศกด้วยความเสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้ง ดังคำประพันธ์ว่า
ฉุกใจได้คิดสิการแล้ว ดังดวงแก้วตกต้องแผ่นผา
ร้าวระยำช้ำจิตเจ็บอุรา ประหนึ่งว่าจะวายชีวี
อิเหนาตามเสด็จท้าวดาหาไปใช้บนที่ภูเขาวิลิศมาหรา*และพยายามหาทางให้ได้ใกล้ชิดกับนางบุษบาโดยใช้สียะตราเป็นสื่อ และแกล้งประดิษฐ์เรือลำเล็ก ๆ มีกุมารน้อยถือสารลอยเรือไปหานางบุษบา ในสารมีเนื้อความอยากเร่งให้จัดงานวิวาห์เร็วๆ เพื่อให้คนเข้าใจผิดว่าจรกาเป็นผู้ทำ อีกครั้งหนึ่งเมื่อนางบุษบาทำบุหงารำไปและต้องการดอกลำเจียกจึงส่งคนไปเสาะหา อิเหนาถือโอกาสส่งดอกลำเจียกที่ตนใช้เล็บกรีดเขียนข้อความเสียดสีรูปชั่วของจรกาและซ้ำเติมว่า “แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า”
มะเดหวีอยากรู้ว่านางบุษบาจะได้ใครเป็นคู่ จึงพานางบุษบาไปไหว้พระปฏิมาในวิหารบนภูเขา ให้นางเสี่ยงเทียนว่าจะได้ใครเป็นคู่ อิเหนาซึ่งเข้าไปซ่อนอยู่หลังพระปฏิมาตอบว่าคู่ของนางคืออิเหนา มะเดหวีและนางพี่เลี้ยงพากันตื่นเต้นว่าพระปฏิมาพูดได้ ระหว่างนั้นอิเหนาให้พรรคพวกไปต้อนค้างคาวมาดับไฟ อิเหนาออกจากที่ซ่อนมากอดนางบุษบาไว้ นางบุษบาร้องขึ้น เมื่อจุดไฟได้ทุกคนจึงเห็นอิเหนา มะเดหวีโกรธมากต่อว่าอิเหนา แต่อิเหนาก็แก้ตัวไปจนได้ ทั้งยังขอสัญญาให้มะเดหวีช่วย
ท้าวกุเรปันเดินทางมากรุงดาหาเพื่อร่วมงานอภิเษกแต่ยังเสียดายนางบุษบาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท้าวดาหาบอกเลิกการวิวาห์ แต่ท้าวดาหาปฏิเสธเพราะไม่สามารถคืนคำได้ อิเหนาแอบฟัง ได้ทราบความจริงก็เสียใจมาก ไปทวงสัญญากับมะเดหวีก็ไม่สำเร็จ อิเหนาผิดหวังถึงกับป่วยหนัก ท้าวดาหาจึงให้เลื่อนงานวิวาห์ออกไปก่อน
อิเหนาคิดจะลักพานางบุษบาจึงสั่งให้สังคามาระตาไปเสาะหาถ้ำกลางป่า โดยให้บอกใคร ๆ ว่าจะไปรับหมอที่เมืองปักมาหงันมารักษาโรคให้อิเหนา สังคามาระตาไปพบถ้ำที่เหมาะ จึงตกแต่งจนงดงามแล้วกลับมาทูลอิเหนา อิเหนาทูลท้าวดาหาว่าตนหายป่วยแล้วขอให้จัดพิธีวิวาห์ ส่วนตนจะขอไปพักในป่าเพื่อล่าเนื้อส่งมาช่วยงาน
อิเหนาทำอุบายให้ทหารมาล้อมกรุงดาหา ทำทีว่าเป็นพวกกะหมังกุหนิงมาแก้แค้น และให้จุดไฟเผา ส่วนตนเองปลอมเป็นจรกาอ้างรับสั่งท้าวดาหาให้มาพานางบุษบาหนีไป อิเหนาพานางบุษบาไปอยู่ในถ้ำที่เตรียมไว้ ทั้งสองอยู่ด้วยกันเพียง 2 วันอิเหนาก็ต้องกลับไปแก้สงสัยที่กรุงดาหา นางบุษบาขอให้พานางวิยะดามาด้วย นางบุษบาคอยอิเหนาด้วยความโศกเศร้า ประสันตาจึงเชิญไปชมสวน
ฝ่ายปะตาระกาหลายังโกรธอิเหนาอยู่ที่ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ จึงคิดลงโทษโดยบันดาลให้เกิดลมพายุหอบนางบุษบาและพี่เลี้ยง 2 คนไปทั้งรถที่นั่ง แล้วสำแดงตนให้เห็น จัดการปลอมตัวให้นางเป็นชาย มอบกริชจารึกชื่อให้ว่ามิสาอุณากรรณ* แล้วชี้ทางไปเมืองประมอตัน*และสาปว่าแม้พบกับอิเหนาก็ขอให้จำกันไม่ได้ จนกว่าพี่น้องทั้ง 4 เมืองมาพบกันพร้อมหน้าจึงให้จำกันได้
เมื่ออิเหนากลับมาถ้ำได้รู้ว่านางบุษบาถูกลมหอบไปก็เสียใจมาก ตัดสินใจจะตามหานางให้จงได้ จึงปลอมตนเป็นโจรป่าอีกครั้งหนึ่งใช้ชื่อปันหยีและเปลี่ยนชื่อนางวิยะดาเป็นนางเกนหลง* กองทัพปันหยียกผ่านเมืองต่าง ๆ เพื่อสืบหานางบุษบา ผ่านเมืองเหล่านั้นมา 15 เมือง เจ้าเมืองล้วนยอมอ่อนน้อมถวายโอรสและธิดา ปันหยีได้เชลยเป็นกุมาร 8 องค์และเป็นธิดา 7 องค์ ปันหยีเดินทางไปจนถึงเมืองมะละกา*ก็ยังไม่พบนางบุษบา จึงเดินทางต่อไปอีกและไปพบอายัน (ฤๅษี) ขอให้บวชให้ด้วยหวังว่าผลบุญจะช่วยให้พบนาง ปันหยีบวชแล้วได้ชื่อว่ากัศมาหราอายัน* ผู้ติดตามก็ร่วมบวชด้วย
อายันปันหยีสำรวมจิตอธิษฐานขอให้ปะตาระกาหลาดลใจนางบุษบาให้ได้พบกัน ฝ่ายอุณากรรณก็คิดถึงอิเหนาด้วยความทุกข์โศก ปะตาระกาหลาเห็นหลานทั้งสองโศกเศร้า จึงบอกอุณากรรณว่าอิเหนาโศกเศร้าตามหานางอยู่ให้เดินทางไปทิศบูรพาก็จะพบ อุณากรรณซึ่งขณะนั้นเป็นบุตรบุญธรรมของท้าวประมอตัน*จึงไปลาพระบิดา อ้างว่าจะไปเสาะหาสตรีที่พึงใจ อุณากรรณยกทัพผ่านเมืองต่าง ๆ ซึ่งพากันยอมอ่อนน้อม ถวายธิดาและบรรณาการให้ อุณากรรณยกทัพมาถึงภูเขาปัจจาหงัน*ที่อายันปันหยีบวชอยู่ จึงขึ้นไปนมัสการฤๅษี เมื่อทั้งสองได้พบกันต่างก็จำกันไม่ได้ อายันปันหยีเห็นอุณากรรณก็รู้สึกว่ามีท่าทางคล้ายผู้หญิงหน้าตาก็คล้ายนางบุษบา ส่วนนางก็รู้สึกว่าอายันปันหยีคล้ายอิเหนามาก อุณากรรณบอกอายันปันหยีว่าตนจะไปเฝ้าท้าวกาหลังเพราะอยู่ใกล้ภูเขานี้ อายันปันหยีก็บอกว่าเมื่อตนลาบวชแล้วจะไปเฝ้าท้าวกาหลังด้วย
อุณากรรณเข้าเฝ้าท้าวกาหลังโดยไม่เปิดเผยว่าตนคือบุษบา ท้าวกาหลังทรงรับเป็นโอรสบุญธรรม และเมื่อปันหยีมาเฝ้าก็ทรงรับเป็นโอรสบุญธรรมเช่นกัน เพราะทรงเห็นว่าท่าทางของปันหยีนั้นไม่ใช่โจรป่า ปันหยีและอุณากรรณคุ้นเคยกันมากขึ้น อุณากรรณเกรงว่าปันหยีจะรู้ว่าตนเป็นหญิง จึงพยายามทำตัวให้เป็นชายมากขึ้น ระหว่างที่ทั้งสองคนอยู่ที่เมืองกาหลัง ระตูจะมาหรา*ส่งสารมาขอธิดาท้าวกาหลังเนื่องจากประไหมสุหรีเสียชีวิต ท้าวกาหลังปฏิเสธและแจ้งว่าธิดาทั้งสองมีคู่ตุนาหงันแล้ว ระตูจะมาหราจึงชวนระตูกะปาหลัน*เชษฐายกทัพมาตีเมืองกาหลังเพื่อชิงนาง ปันหยีและอุณากรรณจึงอาสาออกรบ อุณากรรณฆ่าระตูจะมาหรา ส่วนปันหยีก็สังหารระตูกะปาหลัน
อุณากรรณเริ่มเกรงว่าปันหยีจะจับได้ว่าตนเป็นสตรี จึงไปทูลลาท้าวกาหลังกลับเมืองโดยอ้างว่าพระบิดาประชวร ระหว่างเดินทางกลับ อุณากรรณเกรงว่าปันหยีจะตามมาอีก จึงเขียนสารถึงท้าวประมอตันแล้วแจ้งว่าเทวดามารับไปสวรรค์ แล้วอุณากรรณกับพี่เลี้ยงทั้งสองก็ชวนกันหนีไป ตั้งใจจะตามอิเหนาต่อไป ทั้งสามไปถึงภูเขาตะหลากัน* ขึ้นไปพบอาศรมมีชุดแอหนัง (ชี) แขวนไว้ จึงพากันบวชเป็นแอหนังทั้ง 3 คน บุษบาใช้ชื่อว่าติหลาอรสา* วันหนึ่งเมื่อจะพ้นคำสาป ประสันตามาพบนางเข้าจึงไปทูลปันหยีว่าได้พบแอหนังที่หน้าตาเหมือนบุษบามาก ปันหยีจึงทำอุบายปลอมเป็นเทวดาไปหาแอหนัง เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เทวดานางก็ตกใจมาก ปันหยีถามว่ามาบวชทำไม นางตอบว่าสามีหายไปจึงบวช ปันหยีขอให้นางมาเป็นคู่ครองของตน นางตอบว่าไม่ต้องการมีสามี 2 คน ปันหยีรู้ว่านางมีกริชอยู่จึงแอบลักมาดูพบชื่อมิสาอุณากรรณ ก็เข้าใจว่านางเป็นชายาของอุณากรรณ แต่สังคามาระตาแย้งว่าอุณากรรณนั้นคือนางบุษบา ปันหยีไม่เชื่อ ประสันตาจึงพิสูจน์ด้วยการเชิดหนังและพากย์หนังเป็นเรื่องราวของอิเหนาและนางบุษบา เริ่มตั้งแต่บุษบาไปเสี่ยงเทียน เผาเมือง พานางไปถ้ำจนถึงลมหอบไป แอหนังได้ฟังบทพากย์ก็ร้องไห้ จึงต่างจำกันได้ อิเหนาจึงให้นางบุษบาสึกจากความเป็นแอหนัง
ในตอนท้ายเรื่องมีพิธีอภิเษกอิเหนากับมเหสีทั้งสิบ นางจินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวา นางบุษบาเป็นประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย นางสการะวาตีเป็นมะเดหวีฝ่ายขวา นางมาหยารัศมีเป็นมะเดหวีฝ่ายซ้าย นางบุษบาวิลิศ*เป็นมะโตฝ่ายขวา นางบุษบากันจะหนา*เป็นมะโตฝ่ายซ้าย นางระหนากะระติกา*เป็นลิกูฝ่ายขวา นางอรสานารี*เป็นลิกูฝ่ายซ้าย นางสุหรันกันจาส่าหรี*เป็นเหมาหลาหงีฝ่ายขวา นางหงยาหยา*เป็นเหมาหลาหงีฝ่ายซ้าย แม้จะมีมเหสีถึง 10 นาง อิเหนาก็รักนางบุษบามากกว่าคนอื่น ๆ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory