TLD-003-0852
จะหรังกะหนังโหละ (ชื่อตัวละคร)
จะหรังกะหนังโหละเป็นตัวละครในบทละครเรื่องดาหลัง เป็นอนุชาของอิเหนา* โอรสท้าวกุเรปัน* เกิดแต่มะเดหวี มเหสีลำดับที่สอง
เมื่อเกิดเหตุประหารนางเกนบุษบาส่าหรี* อิเหนาเสียใจมากจนตัดสินใจหนีไปจากกรุงกุเรปัน* จะหรังกะหนังโหละรับอาสาติดตามอิเหนาแต่ไม่พบกันเพราะอิเหนาหนีไปทางน้ำ แต่จะหรังกะหนังโหละไปตามหาในป่า
ต่อมาอิเหนาถูกระตูมะงาดา* ลวงไปฆ่า ท้าวกุเรปันรู้ข่าวจึงสั่งให้จะหรังกะหนังโหละยกทัพไปแก้แค้น จะหรังกะหนังโหละยกทัพใหญ่ไปล้อมเมืองมะงาดา* และปลอมตนเป็นโจรป่าใช้ชื่อว่า กุดาวิราหยา* ประกาศตัวว่าเป็นน้องปันหยี* (อิเหนา) แล้วท้าทายให้ระตูมะงาดาออกมาต่อสู้ ระตูมะงาดาสู้ตามคำท้าและถูกฆ่าตายในที่รบ กุดาวิราหยาตัดสินใจติดตามปันหยีต่อไปจนกว่าจะพบ เพราะแน่ใจว่าปันหยียังมีชีวิตอยู่และเชื่อมั่นว่าปะตาระกาหลา* จะต้องช่วยปันหยีอย่างแน่นอน
เมื่อรบชนะกุดาวิราหยาก็ได้เมืองมะงาดา ประไหมสุหรีเมืองมะงาดายกธิดาให้ แต่กุดาวิราหยาปฏิเสธและชี้แจงว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเป็นของปันหยีพี่ชายของตนเท่านั้น โดยกล่าวว่า ที่จะให้อยู่ครองธานี เมืองนี้ขององค์พระเชษฐา ได้เสด็จมาเหยียบพารา เราเป็นอนุชาไม่ชอบธรรม์ จงรักษานางไว้ให้จงดี ถ้าพระพี่กลับมาเขตขัณฑ์ จึงจะถวายพระองค์ทรงธรรม์ เรายกพลขันธ์ยาตรา กุดาวิราหยารบกับเมืองล่าสำ*และได้ชัยชนะเพราะเชี่ยวชาญการต่อสู้แบบประชิดตัว “พระป้องปัดสลัดอาวุธ ด้วยชำนาญการยุทธแกล้วกล้า อินทรีย์มิได้ต้องศาสตรา” และเมื่อประไหมสุหรีเมืองล่าสำยกธิดาให้ กุดาวิราหยาก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ประไหมสุหรีล่าสำเห็นว่ากุดาวิราหยานั้นเป็นคนรูปงามพูดจาน่าฟัง “งามพักตร์งามทรงทะนงหาญ พจมานคมคำเป็นหนักหนา”
กุดาวิราหยานำทัพเดินทางตามหาปันหยี จนกระทั่งได้พบกองทัพของจินตระวันหนา* ซึ่งพาปันหยีมาด้วย กุดาวิราหยาดีใจมากชวนให้ปันหยีกลับบ้านเมืองแต่ปันหยียังคิดแค้นอยู่ไม่ยอมกลับ ทั้งยังคิดถึงนางบุษบาก้าโละ* จนฟั่นเฟือน กุดาวิราหยาและจินตระวันหนาจึงพาปันหยีไปบวชหวังจะให้หาย โดยทั้งสองคนก็บวชเป็นเพื่อนด้วย ปะตาระกาหลารู้ข่าวจึงสร้างอาศรมให้หลานทั้งสามแยกกันบำเพ็ญภาวนาในอาศรมของตน การบวชทำให้ปันหยีมีอาการเป็นปกติแต่ก็หายตัวไปอีก พระดาบสเข้าฌานแล้วเห็นว่าไม่มีอันตราย
กุดาวิราหยาและจินตระวันหนาจึงลาสึกยกทัพติดตามปันหยีต่อไป เมื่อไปถึงเมืองมะระยะกัดยุหลี* เจ้าเมืองยกธิดาชื่อนางอุหลันหยา* ให้แก่กุดาวิราหยา ทั้งสองคนพี่น้องเดินทางต่อมาหลายเดือน ได้เมืองต่าง ๆ มาเป็นเมืองขึ้นถึง 9 เมือง ได้ธิดาเมืองต่าง ๆ อีก 9 คน เมื่อไปถึงเมืองกาหลัง*ทั้งสองคนส่งสารขอเข้าไปแสดงความเคารพ แต่ไม่เปิดเผยว่าตนเป็นหลาน ท้าวกาหลัง*ต้อนรับอย่างดีในฐานะแขกเมือง และให้รู้จักกับโอรสชื่อศิริกัน* ในชั้นแรกทั้งศิริกัน กุดาวิราหยา จินตระวันหนาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และตั้งสัจจะเป็นมิตรกัน แต่เมื่อศิริกันได้เห็นนางอุหลันหยาก็หลงรักจนระงับใจไม่ได้ พยายามจะให้ท้าวกาหลังขอนางให้ตน แต่ท้าวกาหลังไม่เห็นด้วย บริภาษอย่างรุนแรง ทำให้ศิริกันเกิดความเจ็บอายจึงไปบำเพ็ญตบะในป่าเจ็ดวันเจ็ดคืนจนได้เชือกมนตร์* แล้วยกทัพมาล้อมเมืองกาหลัง
กุดาวิราหยาและจินตระวันหนาอาสาออกไปเตรียมจะเจรจากับศิริกันในฐานะมิตร แต่ถูกศิริกันใช้เชือกมนตร์จับทั้งสองคนใส่ตรุไว้ ปะตาระกาหลาไปเข้าฝันให้มิสาประหมังกุหนิง* (นางบุษบาก้าโละ) มาช่วย เมื่อมิสาประหมังกุหนิงปราบศิริกันได้แล้ว ทั้ง 3 คนก็อยู่ในเมืองกาหลัง มีเทวดาองค์หนึ่งทำผิดถูกสาปให้มาเกิดเป็นเสือ ต่อเมื่อพบเชื้อวงศ์เทวาที่มาฆ่าเสือจึงจะพ้นคำสาป เสือตัวนั้นจึงมาคาบกุดาวิราหยาไปแล้วขอร้องให้ช่วยฆ่าตน กุดาวิราหยาจึงฆ่าเสือ
ต่อมาหลงทางพลัดกับพี่น้องทั้ง 2 คน เทวดาที่พ้นคำสาปอยากทดแทนบุญคุณจึงช่วยให้กุดาวิราหยาได้พบกับพี่ชายคือปันหยี เริ่มต้นด้วยการให้พบกับนางบุษบาส่าหรี* และนางกัติกาส่าหรี* ชายาของอิเหนาซึ่งปลอมตนเป็นอ้าโมะ (นักขับรำชาย) กุดาวิราหยาเดินทางไปพร้อมกับนางทั้งสอง ไปถึงเมืองปัตหรำ*ได้ข่าวว่าปันหยีหนีไปแล้ว จึงเดินทางต่อไปถึงเมืองหมันหยาซึ่งปันหยีเป็นกษัตริย์ครองเมือง
กุดาวิราหยาแจ้งให้ปันหยีทราบว่า นางบุษบาก้าโละยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ปันหยีดีใจมาก คิดจะเดินทางไปตามหานาง กุดาวิราหยาห้ามไว้และแนะนำว่าควรส่งทหารไปรุกรบเมืองต่าง ๆ เพื่อสืบข่าวนาง เมื่อได้ข่าวอย่างแน่นอนแล้วกุดาวิราหยาก็อาสาจะไปรับนางเอง ฝ่ายทหารที่ไปรบเมืองต่าง ๆ ก็รบชนะมาเรื่อย ๆ จนถึงเมืองมงกล*ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และเข้มแข็ง ทหารสู้ไม่ได้จึงส่งข่าวให้ปันหยีออกรบเอง กุดาวิราหยาก็ตามไปด้วย
ในระหว่างการสู้รบระตูมงกล*ใช้เชือกมนตร์จับกุดาวิราหยาและระเด่นกุสุมาหรา* ซึ่งเป็นโอรสปันหยีไปขังไว้ ปันหยีช่วยทั้งสองคนออกมาได้และรบชนะได้เมืองมงกล ต่อมาปันหยีคิดจะตามหานางบุษบาก้าโละ จึงขอให้กุดาวิราหยาครองเมืองมงกล กุดาวิราหยาปฏิเสธและแนะนำให้ระเด่นกุสุมาหราครองเมืองแทน ปันหยีเห็นด้วยจึงเตรียมการอภิเษกระเด่นกุสุมาหรา ระหว่างนั้นมิสาประหมังกุหนิงรู้จากปะตาระกาหลาว่าปันหยีครองเมืองมงกล จึงส่งสารขออนุญาตยกทัพผ่านเมืองมงกล ปันหยีรู้เรื่องทั้งหมดจึงอนุญาตโดยดีและแจ้งว่าอีก 7 วันจะยกทัพตามไป ทัพของมิสาประหมังกุหนิงถึงเมืองกาหลังก่อน ปันหยีมากับกุดาวิราหยาแต่ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยตัว แสร้งปลอมเป็นกะเทยชื่อ สะระหนากะดี*
กุดาวิราหยาพยายามห้ามปันหยีไม่ให้สร้างเรื่องเช่นนั้นแต่ปันหยีไม่ยอม กุดาวิราหยาจำต้องร่วมมือด้วยโดยบอกมิสาประหมังกุหนิงว่า กะเทยนี้เป็นเชลยได้มาจากเมืองล่าสำ ต่อมามิสาประหมังกุหนิงจำปันหยีได้จึงพ้นคำสาปของปะตาระกาหลา กลับกลายเป็นสตรีคือนางบุษบาก้าโละ นางเกิดความอายเกรงคำครหาว่าเป็นสตรีเที่ยวตามชายจึงหนีไปบวชชี ปันหยีตามไปสึกชี กุดาวิราหยาเห็นว่าจะปล่อยให้มีเหตุการณ์ตามกันไปมาเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้ และทุกคนก็ได้พบกันพร้อมหน้าแล้วจึงส่งสารไปทูลให้ท้าวกุเรปัน ท้าวดาหา* และท้าวสิงหัดส่าหรี*ทราบเรื่อง เพื่อให้ทั้ง 3 พระองค์เสด็จมาเมืองกาหลัง
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory