กัณหทีปายนะเป็นตัวละครในเรื่องกัณหทีปายนชาดก ทสกนิบาต ในนิบาตชาดก เป็นพระโพธิสัตว์ มีสหาย 2 คนซึ่งมีชื่อเหมือนกันคือมัณฑพยะ*
ในสมัยพระเจ้าโกสัมพิกะ*แห่งนครโกสัมพีในแคว้นวังสกะ มีพราหมณ์ 2 คนเป็นสหายกันชื่อทีปายนะ*และมัณฑพยะ ทั้งสองมีฐานะมั่งคั่ง แต่เมื่อได้เห็นโทษของกามคุณ ก็บริจาคทรัพย์ให้เป็นทานแล้วออกบวชในป่าหิมพานต์ 50 ปีต่อมาดาบสทั้งสองก็ยังไม่สามารถทำให้ฌานเกิดขึ้นได้ จึงออกเที่ยวไปตามชนบทน้อยใหญ่จนถึงแคว้นกาสี ได้ไปเยี่ยมสหายคฤหัสถ์ที่ชื่อมัณฑพยะ นายมัณฑพยะสร้างบรรณศาลาให้อยู่และปรนนิบัติเป็นอย่างดี ดาบสทั้งสองพักอยู่กับนายมัณฑพยะได้ 4 พรรษาก็บอกลาเที่ยวจาริกไปจนถึงเมืองพาราณสี ไปอยู่ในป่าช้าแห่งหนึ่ง ต่อมาทีปายนดาบสได้กลับไปอยู่บรรณศาลาที่นายมัณฑพยะสร้างไว้ให้ ส่วนมัณฑพยดาบสนั้นคงอยู่ที่ป่าช้าตามลำพัง
คืนวันหนึ่งมีโจรไปลักขโมยทรัพย์บ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านตื่นมาเห็นเข้าก็วิ่งไล่ โจรหนีเข้าไปในป่าช้า ทิ้งทรัพย์ไว้ที่หน้าประตูบรรณศาลาของมัณฑพยดาบส เจ้าของทรัพย์คิดว่ามัณฑพยดาบสเป็นโจร จึงจับตัวไปถวายพระเจ้าโกสัมพิกะ พระองค์ไม่ทันได้ทรงพินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ก็มีรับสั่งให้ราชบุรุษนำตัวดาบสไปเสียบหลาว ราชบุรุษจะใช้หลาวชนิดใดเสียบก็ไม่สามารถเสียบเข้าได้ มัณฑพยดาบสใคร่ครวญถึงเรื่องกรรมเวรก็ระลึกชาติได้ว่าที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะชาติก่อนตนเอาหนามไม้ทองหลางเสียบก้นแมลงวันติดคาอยู่แต่ไม่ตาย บาปจึงตามสนองในชาตินี้ เมื่อเห็นว่าไม่อาจพ้นบาปไปได้จึงบอกราชบุรุษว่าให้เอาหลาวไม้ทองหลางมาเสียบตน ราชบุรุษทำตามก็เสียบเข้า แล้วให้คนซุ่มเฝ้าดูผู้ที่มาหาดาบส
ฝ่ายทีปายนดาบสคิดถึงเพื่อนดาบสที่ป่าช้าก็เดินทางไปหา เมื่อรู้ว่ามัณฑพยดาบสถูกหลาวเสียบทั้งเป็นทั้งๆ ที่มิได้ทำอะไรผิด ทีปายนดาบสก็เข้าไปนั่งพิงหลาว หยาดเลือดที่ไหลจากร่างของมัณฑพยดาบสก็หยดลงถูกร่างทีปายนดาบสแห้งดำไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่ากัณหทีปายนะ แปลว่าทีปายนะดำ รุ่งขึ้นราชบุรุษมาเห็นก็ไปทูลพระเจ้าโกสัมพิกะ พระเจ้าโกสัมพิกะเสด็จมาถามกัณหทีปายนดาบสว่าทำไมมานั่งพิงหลาวอยู่ เมื่อทรงรู้เรื่องว่ามัณฑพยดาบสเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ให้ถอนหลาวออก แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถถอนหลาวออกจากร่างมัณฑพยดาบสได้ มัณฑพยดาบสจึงทูลว่าถ้าจะไว้ชีวิตตนก็ให้เอาเลื่อยมาตัดหลาวให้เสมอกับหนัง ตั้งแต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่าอาณิมัณฑพยะ*แปลว่ามัณฑพยะลิ่ม เพราะมีหลาวเป็นลิ่มติดอยู่ภายในกาย ส่วนการที่อาณิมัณฑพยดาบสไม่ตายเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำให้แมลงวันต้องตาย หลังจากที่กัณหทีปายนดาบสอยู่รักษาแผลของมัณฑพยดาบสจนหายดีแล้วก็เดินทางกลับบรรณศาลา
ต่อมายัญญทัตกุมาร*บุตรของนายมัณฑพยะถูกงูพิษกัดสลบ นายมัณฑพยะขอให้กัณหทีปายนดาบสช่วยรักษา แต่กัณหทีปายนดาบสบอกว่าตนเป็นนักบวชไม่มีความรู้ด้านเวชกรรม นายมัณฑพยะจึงขอให้ดาบสทำสัตยาธิษฐานให้บุตรของตนหายจากพิษงู กัณหทีปายนดาบสวางมือลงบนศีรษะของยัญญทัตกุมารแล้วกล่าววาจาสัตย์ว่าที่จริงแล้วตนมีจิตเลื่อมใสในเพศบรรพชิตเพียง 7 วันแรกเท่านั้น แต่หลังจากนั้นตนต้องฝืนใจบวชมาถึง 50 ปี เมื่อกล่าวจบพิษในศีรษะของกุมารก็หายไป ลืมตาเรียกแม่ได้แต่ยังลุกขึ้นไม่ได้ จากนั้นกัณหทีปายนดาบสก็ให้นายมัณฑพยะทำสัจกิริยาเสริมพลัง นายมัณฑพยะวางมือที่อกของบุตรแล้วกล่าวว่าทุกครั้งที่มีอาคันตุกะมาที่บ้าน ตนก็ต้อนรับเลี้ยงดูให้ที่พักอย่างดีทั้ง ๆ ที่ไม่พอใจจะทำเช่นนั้นเลย แต่ตนต้องไม่แสดงความไม่พอใจออกมาให้ใครเห็นหรือรู้ได้ เมื่อนายมัณฑพยะกล่าวจบ พิษที่อยู่เหนือสะเอวบุตรก็หายไป ยัญญทัตกุมารลุกขึ้นนั่งได้แต่ยังยืนไม่ได้ จากนั้นสามีก็บอกภรรยาให้ทำสัจกิริยาบ้าง นางกล่าวว่างูพิษที่กัดบุตรนั้นไม่เป็นที่รักของตนเหมือนที่สามีไม่เป็นที่รักของตนเลย เมื่อกล่าวจบพิษในกายบุตรก็หายสิ้น ยัญญทัตกุมารสามารถลุกขึ้นได้และอยากจะเล่น นายมัณฑพยะถามกัณหทีปายนดาบสว่าเหตุใดจึงต้องฝืนใจบวช เหตุใดจึงไม่สึกออกมาครองเรือน ดาบสตอบว่าเพราะเกรงว่าจะถูกคนติเตียนว่าเป็นคนเหลวไหลกลับกลอก แล้วกัณหทีปายนดาบสก็ถามนายมัณฑพยะว่าเหตุใดจึงต้องฝืนใจต้อนรับพวกอาคันตุกะ นายมัณฑพยะตอบว่าตนทำตามที่ตระกูลเคยปฏิบัติกันมา ถ้าไม่ทำก็เกรงคนจะติเตียน แล้วนายมัณฑพยะก็ถามภรรยาว่าเหตุใดจึงทนอยู่กับตนทั้งๆ ที่ไม่รัก นางตอบว่านางต้องประพฤติตามจารีตของตระกูลเพราะเกรงจะถูกคนติเตียน แล้วนางก็ขอโทษสามีขอให้ลืมสัจวาจาที่ตนต้องจำใจพูดเพราะต้องการจะให้บุตรหายจากพิษงู สามีก็ยกโทษให้
กัณหทีปายนดาบสได้ขอให้นายมัณฑพยะทำทานด้วยความศรัทธา นายมัณฑพยะก็ขอให้ดาบสประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความเลื่อมใสอย่างแท้จริง แล้วสองสามีภรรยาก็ลาจากไป ตั้งแต่นั้นมาภรรยาก็รักนายมัณฑพยะ นายมัณฑพยะก็ศรัทธาในการให้ทาน ฝ่ายกัณหทีปายนดาบสบำเพ็ญฌานจนได้อภิญญาและสมาบัติ เมื่อสิ้นชีวิตได้ไปเกิดในพรหมโลกกัณหทีปายนะเป็นตัวละครในเรื่องกัณหทีปายนชาดก ทสกนิบาต ในนิบาตชาดก เป็นพระโพธิสัตว์ มีสหาย 2 คนซึ่งมีชื่อเหมือนกันคือมัณฑพยะ*
ในสมัยพระเจ้าโกสัมพิกะ*แห่งนครโกสัมพีในแคว้นวังสกะ มีพราหมณ์ 2 คนเป็นสหายกันชื่อทีปายนะ*และมัณฑพยะ ทั้งสองมีฐานะมั่งคั่ง แต่เมื่อได้เห็นโทษของกามคุณ ก็บริจาคทรัพย์ให้เป็นทานแล้วออกบวชในป่าหิมพานต์ 50 ปีต่อมาดาบสทั้งสองก็ยังไม่สามารถทำให้ฌานเกิดขึ้นได้ จึงออกเที่ยวไปตามชนบทน้อยใหญ่จนถึงแคว้นกาสี ได้ไปเยี่ยมสหายคฤหัสถ์ที่ชื่อมัณฑพยะ นายมัณฑพยะสร้างบรรณศาลาให้อยู่และปรนนิบัติเป็นอย่างดี ดาบสทั้งสองพักอยู่กับนายมัณฑพยะได้ 4 พรรษาก็บอกลาเที่ยวจาริกไปจนถึงเมืองพาราณสี ไปอยู่ในป่าช้าแห่งหนึ่ง ต่อมาทีปายนดาบสได้กลับไปอยู่บรรณศาลาที่นายมัณฑพยะสร้างไว้ให้ ส่วนมัณฑพยดาบสนั้นคงอยู่ที่ป่าช้าตามลำพัง
คืนวันหนึ่งมีโจรไปลักขโมยทรัพย์บ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านตื่นมาเห็นเข้าก็วิ่งไล่ โจรหนีเข้าไปในป่าช้า ทิ้งทรัพย์ไว้ที่หน้าประตูบรรณศาลาของมัณฑพยดาบส เจ้าของทรัพย์คิดว่ามัณฑพยดาบสเป็นโจร จึงจับตัวไปถวายพระเจ้าโกสัมพิกะ พระองค์ไม่ทันได้ทรงพินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ก็มีรับสั่งให้ราชบุรุษนำตัวดาบสไปเสียบหลาว ราชบุรุษจะใช้หลาวชนิดใดเสียบก็ไม่สามารถเสียบเข้าได้ มัณฑพยดาบสใคร่ครวญถึงเรื่องกรรมเวรก็ระลึกชาติได้ว่าที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะชาติก่อนตนเอาหนามไม้ทองหลางเสียบก้นแมลงวันติดคาอยู่แต่ไม่ตาย บาปจึงตามสนองในชาตินี้ เมื่อเห็นว่าไม่อาจพ้นบาปไปได้จึงบอกราชบุรุษว่าให้เอาหลาวไม้ทองหลางมาเสียบตน ราชบุรุษทำตามก็เสียบเข้า แล้วให้คนซุ่มเฝ้าดูผู้ที่มาหาดาบส
ฝ่ายทีปายนดาบสคิดถึงเพื่อนดาบสที่ป่าช้าก็เดินทางไปหา เมื่อรู้ว่ามัณฑพยดาบสถูกหลาวเสียบทั้งเป็นทั้งๆ ที่มิได้ทำอะไรผิด ทีปายนดาบสก็เข้าไปนั่งพิงหลาว หยาดเลือดที่ไหลจากร่างของมัณฑพยดาบสก็หยดลงถูกร่างทีปายนดาบสแห้งดำไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่ากัณหทีปายนะ แปลว่าทีปายนะดำ รุ่งขึ้นราชบุรุษมาเห็นก็ไปทูลพระเจ้าโกสัมพิกะ พระเจ้าโกสัมพิกะเสด็จมาถามกัณหทีปายนดาบสว่าทำไมมานั่งพิงหลาวอยู่ เมื่อทรงรู้เรื่องว่ามัณฑพยดาบสเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ให้ถอนหลาวออก แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถถอนหลาวออกจากร่างมัณฑพยดาบสได้ มัณฑพยดาบสจึงทูลว่าถ้าจะไว้ชีวิตตนก็ให้เอาเลื่อยมาตัดหลาวให้เสมอกับหนัง ตั้งแต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่าอาณิมัณฑพยะ*แปลว่ามัณฑพยะลิ่ม เพราะมีหลาวเป็นลิ่มติดอยู่ภายในกาย ส่วนการที่อาณิมัณฑพยดาบสไม่ตายเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำให้แมลงวันต้องตาย หลังจากที่กัณหทีปายนดาบสอยู่รักษาแผลของมัณฑพยดาบสจนหายดีแล้วก็เดินทางกลับบรรณศาลา
ต่อมายัญญทัตกุมาร*บุตรของนายมัณฑพยะถูกงูพิษกัดสลบ นายมัณฑพยะขอให้กัณหทีปายนดาบสช่วยรักษา แต่กัณหทีปายนดาบสบอกว่าตนเป็นนักบวชไม่มีความรู้ด้านเวชกรรม นายมัณฑพยะจึงขอให้ดาบสทำสัตยาธิษฐานให้บุตรของตนหายจากพิษงู กัณหทีปายนดาบสวางมือลงบนศีรษะของยัญญทัตกุมารแล้วกล่าววาจาสัตย์ว่าที่จริงแล้วตนมีจิตเลื่อมใสในเพศบรรพชิตเพียง 7 วันแรกเท่านั้น แต่หลังจากนั้นตนต้องฝืนใจบวชมาถึง 50 ปี เมื่อกล่าวจบพิษในศีรษะของกุมารก็หายไป ลืมตาเรียกแม่ได้แต่ยังลุกขึ้นไม่ได้ จากนั้นกัณหทีปายนดาบสก็ให้นายมัณฑพยะทำสัจกิริยาเสริมพลัง นายมัณฑพยะวางมือที่อกของบุตรแล้วกล่าวว่าทุกครั้งที่มีอาคันตุกะมาที่บ้าน ตนก็ต้อนรับเลี้ยงดูให้ที่พักอย่างดีทั้ง ๆ ที่ไม่พอใจจะทำเช่นนั้นเลย แต่ตนต้องไม่แสดงความไม่พอใจออกมาให้ใครเห็นหรือรู้ได้ เมื่อนายมัณฑพยะกล่าวจบ พิษที่อยู่เหนือสะเอวบุตรก็หายไป ยัญญทัตกุมารลุกขึ้นนั่งได้แต่ยังยืนไม่ได้ จากนั้นสามีก็บอกภรรยาให้ทำสัจกิริยาบ้าง นางกล่าวว่างูพิษที่กัดบุตรนั้นไม่เป็นที่รักของตนเหมือนที่สามีไม่เป็นที่รักของตนเลย เมื่อกล่าวจบพิษในกายบุตรก็หายสิ้น ยัญญทัตกุมารสามารถลุกขึ้นได้และอยากจะเล่น นายมัณฑพยะถามกัณหทีปายนดาบสว่าเหตุใดจึงต้องฝืนใจบวช เหตุใดจึงไม่สึกออกมาครองเรือน ดาบสตอบว่าเพราะเกรงว่าจะถูกคนติเตียนว่าเป็นคนเหลวไหลกลับกลอก แล้วกัณหทีปายนดาบสก็ถามนายมัณฑพยะว่าเหตุใดจึงต้องฝืนใจต้อนรับพวกอาคันตุกะ นายมัณฑพยะตอบว่าตนทำตามที่ตระกูลเคยปฏิบัติกันมา ถ้าไม่ทำก็เกรงคนจะติเตียน แล้วนายมัณฑพยะก็ถามภรรยาว่าเหตุใดจึงทนอยู่กับตนทั้งๆ ที่ไม่รัก นางตอบว่านางต้องประพฤติตามจารีตของตระกูลเพราะเกรงจะถูกคนติเตียน แล้วนางก็ขอโทษสามีขอให้ลืมสัจวาจาที่ตนต้องจำใจพูดเพราะต้องการจะให้บุตรหายจากพิษงู สามีก็ยกโทษให้
กัณหทีปายนดาบสได้ขอให้นายมัณฑพยะทำทานด้วยความศรัทธา นายมัณฑพยะก็ขอให้ดาบสประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความเลื่อมใสอย่างแท้จริง แล้วสองสามีภรรยาก็ลาจากไป ตั้งแต่นั้นมาภรรยาก็รักนายมัณฑพยะ นายมัณฑพยะก็ศรัทธาในการให้ทาน ฝ่ายกัณหทีปายนดาบสบำเพ็ญฌานจนได้อภิญญาและสมาบัติ เมื่อสิ้นชีวิตได้ไปเกิดในพรหมโลก