TLD-003-1271
โชติกเศรษฐี (ชื่อตัวละคร)
ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ไตรภูมิกถา
โชติกเศรษฐีเป็นตัวละครในเรื่องไตรภูมิกถา เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยมากที่สุดในกรุงราชคฤห์*มหานคร บ้านของโชติกเศรษฐีเป็นปราสาท 7 ชั้น ประดับด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะ* พื้นบ้านเป็นแก้วผลึกใสงามราวกับกระจกที่ขัดไว้ 1,000 ครั้ง ปราสาทนี้ไม่ต้องจุดไต้ใช้ไฟให้แสงสว่างเลยเพราะอาศัยแสงอันสว่างรุ่งเรืองของรัศมีแห่งแก้วทั้งปวง รอบบ้านมีกำแพงแก้วสัตตพิธรัตนะ 7 ชั้น ระหว่างกำแพงแก้วแต่ละชั้นมีต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นไม้ประจำอุตตรกุรุทวีป*เรียงรายอยู่เป็นแถวๆ ทั้ง 4 มุมบ้านเศรษฐีเป็นขุมทองขนาดใหญ่ กว้าง 2,000-8,000 วา ลึก 240,000 โยชน์ ทั้งแก้วทั้งทองกองสุมสูงขึ้นมาถึงปากขุม ขุมทรัพย์เหล่านี้แม้ตักเอาไปเท่าไร ๆ ก็ไม่มีพร่อง กลับเต็มขึ้นมาเหมือนเดิม ในปากประตูกำแพงบ้านของโชติกเศรษฐีทั้ง 7 ชั้นนั้นมียักษ์เฝ้าอยู่ 7 ตน มียักษ์บริวารอยู่เฝ้าอีกมากมาย ประตูชั้นนอกมียักษ์เฝ้า 1,000 ตน ชั้นที่ 2 มี 2,000 ตน จนถึงชั้นที่ 7 มียักษ์บริวาร 7,000 ตน
ภรรยาโชติกเศรษฐีเป็นนางแก้ว* “เมื่อมาแต่อุดรกุรุทวีปนั้นนางเอาหม้อข้าวแก้วมาด้วยลูกหนึ่ง แลเอาอันเป็นก้อนเส้าเท่าลูกฟักมาด้วย 3 ก้อน แลแก้วนั้นชื่อโชติปาสาณ” นอกจากนั้นนางได้นำข้าวสารชื่อสัญชาติสาลี*อันมีกลิ่นหอมมาด้วย นางใส่ข้าว 2 ทะนานลงในหม้อแก้วแล้วยกขึ้นตั้งบนก้อนเส้าโชติปาสาณ* “ครั้นเอาหม้อขึ้นตั้งบัดเดี๋ยว ไฟหากลุกขึ้นในก้อนเส้าแก้วนั้นเอง ครั้นว่าข้าวนั้นสุกไสร้ ไฟหากดับไปเองแล เมื่อแกงและทำขนมข้(าว)ต้มของกินอันใดๆ ก็ดุจเดียวแล”
ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันมาขอชมสมบัติของเศรษฐี โชติกเศรษฐีก็ให้หุงข้าว 2 ทะนานเลี้ยงฝูงชน ข้าวนั้นก็ไม่รู้จักหมด เศรษฐีนำเครื่องประดับมากมายจากต้นกัลปพฤกษ์มาประดับให้ฝูงชนทุกคน แล้วจึงเผยขุมทองให้ชมพลางกล่าวว่า “คนผู้ใดจะใคร่เอาเงินทองแก้วแหวนเท่าใดๆ ก็ดีแลให้เก็บเอาโดยใจท่านผู้ปรารถนาเถิด เพราะขุมทองนั้นก็ไม่พร่องไม่หมดเลย”
วันหนึ่งพญาพิมพิสารราช*ผู้ครองกรุงราชคฤห์มีพระทัยใคร่เห็นสมบัติของมหาเศรษฐีจึงเสด็จมา เมื่อชมปราสาทแล้วเศรษฐีก็ทูลเชิญให้เสวยอาหารที่ประกอบด้วยข้าวสารจากอุตตรกุรุทวีป พญาพิมพิสารเสวยอย่างเอร็ดอร่อยแล้วเศรษฐีก็เลี้ยงไพร่พลที่มาด้วยกับทั้งพวกชาวเมืองทั้งหลายโดยให้กินข้าวและแกงจากหม้อเดียวกันนั้นโดยไม่รู้จักหมดสิ้น พญาพิมพิสารตรัสถามถึงภรรยาโชติกเศรษฐี เศรษฐีจึงไปนำนางมาเข้าเฝ้า นางถือพัดวิชนีโบกให้พญาพิมพิสาร กลิ่นอายธูปจากเสื้อผ้าอาภรณ์ของพระองค์ซึ่งเกิดจากการอบร่ำด้วยควันของหอมได้เข้าตานางจนนางแก้วนั่งน้ำตาไหล เศรษฐีอธิบายให้พญาพิมพิสารฟังว่าในปราสาทนี้ไม่มีการใช้ไฟเลย แสงสว่างหรือการอบรมต่าง ๆ ล้วนเกิดจากแก้วมณีรัตนะแล้วจึงนำแก้วดวงหนึ่งใหญ่เท่าลูกแตงโมลูกใหญ่หาค่ามิได้มาถวายให้ทรงใช้แทนไฟ
ในวันที่พญาพิมพิสารเสด็จชมปราสาทแก้วของโชติกเศรษฐีนั้น พญาอชาตศัตรู*ผู้โอรสได้ตามเสด็จด้วยและคิดในใจว่า “วันใดกูได้เป็นพญาไส้แลกูจะชิงเอาปราสาทนี้แก่กูแล” เมื่อเสด็จกลับวังแล้วจึงชักชวนพระบิดาให้ชิงสมบัติเศรษฐี พญาพิมพิสารตรัสว่าสมบัติเหล่านั้นเกิดเพราะบุญของโชติกเศรษฐีไม่ใช่บุญของผู้อื่นจึงไม่ถูกต้องที่จะชิงเอามา วันเวลาล่วงเลยไปนานจนถึงกาลที่พญาอชาตศัตรูสังหารพระบิดาตามคำชักจูงของเทวทัต*แล้วจึงทรงคิดจะชิงปราสาทแก้วของโชติกเศรษฐี วันนั้นเป็นวันพระ เศรษฐีไปถือศีลฟังธรรมอยู่ในสำนักพระพุทธเจ้าที่เวฬุวัน* พญาอชาตศัตรูยกพลเข้าโจมตีบ้านเศรษฐีแต่ถูกยักษ์ที่รักษาประตูกำแพงแก้วชั้นนอกและบริวารยักษ์ 1,000 ตนขับไล่ออกมา พญาอชาตศัตรูวิ่งหนีไปถึงอารามของพระพุทธเจ้า โชติกเศรษฐีครั้นรู้ว่าพญาอชาตศัตรูจะชิงสมบัติก็กล่าวว่า “สมบัติแห่งกูสิ่งใดๆ ก็ดี... แลข้าบ่มิได้ให้แก่ผู้ใด แลผู้นั้นก็มิอาจเอาสมบัติข้าได้” แล้วกล่าวต่อว่าแม้แต่แหวน 20 วงที่นิ้วทั้ง 10 นี้ ถ้าพญาอชาตศัตรูสามารถถอดออกได้ก็จะยกให้ พญาอชาตศัตรูผู้มีพละกำลังได้พยายามทุกวิธี ที่จะถอดแหวนจากนิ้วเศรษฐีแต่ก็ไม่สำเร็จจึงนั่งลงอยู่ เศรษฐีจึงกล่าวอนุญาตว่าแหวน 20 วงนี้ยกให้พระองค์ เมื่อเอาผ้าเช็ดหน้ามาปูรองแล้ว เศรษฐีก็หยอดมือลงเหนือผ้านั้น แหวนทั้ง 20 วงได้ลอยออกจากนิ้วมาตกอยู่ที่ผ้านั้นทั้งหมด
โชติกเศรษฐีเกิดความสังเวชใจจึงทูลขอลาบวช พญาอชาตศัตรูดีพระทัยที่จะยึดเอาปราสาทแก้วเป็นของตน เมื่อโชติกเศรษฐีบวชแล้วได้บรรลุถึงอรหัตผล ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เกิดมาด้วยบุญของโชติกเศรษฐีก็จมหายลงในแผ่นดินทั้งสิ้น ส่วนนางแก้วผู้เป็นภรรยานั้น เทวดาได้พากลับคืนไปสู่แผ่นดินอุตตรกุรุทวีปดังเดิม
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Attribution-NonCommercial-NoDerivs (CC BY-NC-ND)
Copyright © 2015 ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย : Thai Literature Directory