เนื้อความโดยย่อเริ่มด้วยการกล่าวชมกรุงเทพฯ ในขณะนั้นว่าสวยงาม อุดมสมบูรณ์ ถนนหนทางสะอาดเรียบร้อย ราษฎรเป็นสุข มีพ่อค้าต่างชาติเข้ามาค้าขายเนืองแน่น เมื่อถึงเดือนมาฆะ (เดือน 3) หมดฝน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากพระนครเข้าสู่ป่าใหญ่
ต่อจากนั้นเสด็จลงเรือไฟในตอนเช้าด้วยความรู้สึกคิดถึงนาง เรือผ่านวัดอรุณราชวราราม มีการพรรณนาเรือแพที่ขายของหลายชนิด เรือผ่านวัดยานนาวา บ้านชาวยุโรปริมฝั่งน้ำ ห้างขายของต่างๆ มีประชาชนซื้อของมากมาย เรือแล่นต่อมาอย่างรวดเร็วผ่านดาวคะนอง บางคอแหลมไปจนถึงปากน้ำสมุทรปราการ ผ่านพระสมุทรเจดีย์ ป้อมเสือซ่อนเล็บ หลังเต่า ออกปากอ่าว ไกลจากฝั่งออกไปมองเห็นเรือนตะเกียง (กระโจมไฟ, ประภาคาร) อยู่ในทะเล แต่แล้วเรือก็มาติดสันดอนต้องพักค้างคืนวันรุ่งขึ้นผู้คนในเรือพากันเมาเรือจนอาเจียน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ต้องบรรทมนิ่งๆ ด้วยความวิงเวียน ต่อมาเรือเข้าสู่น้ำลึก เห็นแต่ฟ้ากับน้ำ ตอนสายจึงถึงปากอ่าวแม่กลอง ชาวบ้านกำลังทำปลาส่งกลิ่นเหม็นมาก เรือผ่านอัมพวาไปจนถึงราชบุรี ทรงกล่าวถึงกษัตริย์พระองค์ก่อนที่เคยเสด็จราชบุรี ทรงแวะพักที่ราชบุรี 3 คืน ในตอนนี้มีบทชมดาวฤกษ์ชื่อต่าง ๆ
การเดินทางระยะต่อไปต้องเสด็จทางสถลมารคโดยช้างและเกวียนเข้าไปในป่า ผ่านช่องเขาทะลุ หนองบัว ท่านาง ทับตะโก ผ่านหมู่บ้านกะเหรี่ยง ดงรัง มะขามเตี้ย ถึงท่าตะครอต้องลงเรือที่ท่าน้ำ แจวไปเรื่อยๆ ตอนกลางแม่น้ำน้ำเชี่ยวมาก บางตอนเป็นหาดทรายขาว เห็นฝูงนกยูงฟ้อนหาง เรือแล่นมาจนถึงแก่งหลวงซึ่งมีน้ำวนและแก่งหินมากมาย ผ่านเขาตก ออกแควใหญ่ น้ำไหลเชี่ยว ถึงเมืองกาญจนบุรีก็เที่ยวไปเรื่อย ๆ พบถ้ำหลวงญวน ไปจนถึงเขาชนไก่ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของนางทองประศรี แต่ไม่เห็นผู้คนเลย มีแต่สัตว์อาศัยอยู่ เที่ยวต่อไปพบแม่น้ำลำตะเพินซึ่งเป็นทางเดินทัพของพวกข้าศึก
เมื่อเดินทางกลับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงความเบื่อในการเดินทางและอยากรีบกลับไปหานางโดยเร็ว โคลง 2 บทสุดท้ายกล่าวถึงพระราชภารกิจซึ่งมีมากมาย ทำให้ทรงพระราชนิพนธ์ได้ไม่ดีนัก