พระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงราชคฤห์ ทรงขอประทับแรมในบ้านช่างปั้นหม้อ ได้พบกับกามนิตซึ่งมาพักอยู่ก่อน ทรงเห็นว่ากามนิตเป็นผู้แสวงหาโมกษธรรมจึงทรงถามถึงเหตุที่กามนิตถือเพศเป็นผู้ละเคหสถาน กามนิตเล่าว่าตนเป็นบุตรพ่อค้าเศรษฐี ณ กรุงอุชเชนี บิดาส่งเสริมให้กามนิตได้รับการศึกษาจนเชี่ยวชาญ เมื่อกามนิตอายุได้ 20 ปี บิดาให้จัดสินค้าบรรทุกเกวียนรวม 12 เล่ม เดินทางไปขายที่กรุงโกสัมพีซึ่งมีสหายของบิดาอยู่ โดยให้กามนิตสมทบไปกับกระบวนของราชทูตซึ่งจะทำให้เดินทางได้อย่างปลอดภัย แล้วให้ซื้อสินค้ากลับมาขาย
เมื่อถึงกรุงโกสัมพี กามนิตไปพักกับประณาทสหายของบิดา ซึ่งช่วยให้กามนิตขายสินค้าได้กำไรงาม แล้วซื้อสินค้ากลับไปขายที่กรุงอุชเชนี ระหว่างรอราชทูตเพื่อเดินทางกลับกามนิตท่องเที่ยวชมเมืองกับโสมทัตต์บุตรของประณาท วันหนึ่งทั้งสองพากันไปเที่ยวที่อุทยานนอกเมือง ได้พบเหล่าสตรีโฉมงามที่ได้รับคัดเลือกมาจากคนมั่งมีชั้นสูงมาเล่นเดาะคลีบูชาพระลักษมีเทวีแห่งเขาวินธัย กามนิตเห็นสตรีผู้หนึ่งงดงามเป็นที่ต้องใจ คลีลูกหนึ่งพลาดจากมือนางกระดอนลงมาจากเวที ชายหนุ่มทั้งหลายรวมทั้งกามนิตต่างวิ่งไปแย่งเก็บลูกคลี กามนิตวิ่งไปถึงลูกคลีก่อนแต่ถูกสาตาเคียรบุตรของประธานมนตรีเข้ามาแย่ง กามนิตคว้าลูกคลีไว้ได้ ส่วนสาตาเคียรคว้าได้สร้อยคอเครื่องรางของกามนิตขาดแล้วขว้างไปที่เท้าของกามนิต กามนิตเดาะคลีกลับคืนไปให้นาง ทำให้สาตาเคียรโกรธแค้นแสดงกิริยาอาฆาต กามนิตไม่สนใจเพราะหลงรักสาวน้อยผู้เดาะคลี ซึ่งคือวาสิฏฐีธิดาเศรษฐีช่างทอง และด้วยความช่วยเหลือของโสมทัต กามนิตจึงมีโอกาสได้นัดพบวาสิฏฐี ก่อนถึงวันนัดราชทูตให้คนมาแจ้งว่าให้เตรียมเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น กามนิตไปขอร้องอ้อนวอนให้เลื่อนเวลากลับ ราชทูตจึงเลื่อนเวลาไปอีก 1 วัน
เมื่อกามนิตได้พบกับวาสิฏฐี ทั้งสองต่างมีใจตรงกัน ครั้นรู้ว่ากามนิตจะต้องกลับในวันรุ่งขึ้น นางก็ตัดพ้อต่างๆ นานา กามนิตจึงต้องสัญญาว่าจะยังไม่กลับโดยบอกราชทูตว่าตนจะเดินทางกลับเอง ราชทูตโกรธที่กามนิตไม่รักษาคำพูดและพยายามชี้แจงว่าการเดินทางไปตามลำพังนั้นจะมีอันตรายจากโจรผู้ร้ายระหว่างทาง แต่กามนิตก็ไม่เปลี่ยนใจ คงอยู่ต่อและลอบไปหาวาสิฏฐีทุกคืน โดยมีโสมทัตไปเป็นเพื่อนและไปหาคู่รักของตนคือเมทินีซึ่งเป็นญาติของวาสิฏฐี คืนหนึ่งมีคนร้ายประมาณ 8-10 คนเข้ากลุ้มรุมทำร้าย ทำให้กามนิตบาดเจ็บต้องนอนรักษาตัวอยู่หลายสัปดาห์ และได้รู้ว่าผู้ที่ว่าจ้างคนมาทำร้ายตนคือสาตาเคียรคู่อาฆาต ระหว่างป่วยกามนิตและวาสิฏฐีฝากดอกไม้ให้แก่กัน จนสามารถสื่อกันด้วยเครื่องหมายดอกไม้อย่างชำนาญ ต่อมาวาสิฏฐีขอร้องให้กามนิตออกไปจากเมืองเพราะเกรงจะถูกทำร้ายอีก ก่อนเดินทางทั้งสองคนได้พบกันและสัญญาว่าจะต้องพบกันอีก หากไม่ได้พบกันในโลกนี้ก็ให้ตั้งจิตเป็นสมาธิไปพบกันในแดนสวรรค์ จะได้ไปเกิดในดอกบัว ณ แดนสุขาวดี
ระหว่างการเดินทางกลับ กองเกวียนของกามนิตถูกโจรปล้น คนของกามนิตถูกฆ่าเกือบหมดยกเว้นคนเก่าแก่ของบิดาเพราะโจรจะให้เดินทางไปเอาค่าไถ่ หัวหน้าโจรคือองคุลีมาล กระชากสร้อยคอแก้วตาเสือของกามนิตไป เมื่อได้ค่าไถ่แล้ว องคุลีมาลปล่อยตัวกามนิตและให้บริวาร 4 คนทำหน้าที่คุ้มกันไปจนถึงกรุงอุชเชนี ต่อมากามนิตขออนุญาตบิดาไปค้าที่กรุงโกสัมพีอีกแต่บิดาไม่ยอม จนกระทั่งมีข่าวว่าสาตาเคียรปราบองคุลีมาลได้แล้ว บิดาจึงอนุญาต กามนิตเดินทางไปพร้อมกับเกวียนบรรทุกสินค้า 30 เล่ม ไปถึงกรุงโกสัมพีได้พบกระบวนแห่พิธีแต่งงานของสาตาเคียร กามนิตได้เห็นเจ้าสาวคือวาสิฏฐีนั่งอยู่ในกูบช้างด้วยสีหน้าที่เศร้าโศก กามนิตเสียใจจนสิ้นสติและป่วยจนทำอะไรไม่ได้ ต่อมากามนิตก็เดินทางกลับกรุงอุชเชนี
กามนิตใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับความสนุก ได้คุมเกวียนไปค้าขายเมืองต่างๆ ได้กำไรหลายครั้ง วันหนึ่งภิกษุรูปหนึ่งมาภิกขาจารที่บ้านแต่ถูกภรรยาทั้งสองของกามนิตด่าว่า เมื่อกามนิตออกไปขอโทษ ก็จำได้ว่าภิกษุรูปนั้นคือองคุลีมาล กามนิตตกใจกลัวมาก แต่เมื่อเข้าไปจัดอาหารมาให้ ภิกษุรูปนั้นก็หายไป คืนนั้นกามนิตเตรียมอาวุธพร้อมที่จะต่อสู้กับโจร แต่เฝ้ารออยู่ตลอดคืนก็ไม่มีใครมา กามนิตจึงตกลงใจว่าจะละทิ้งบ้านและทรัพย์สิน สั่งเสียคนรับใช้ให้ดูแลทรัพย์สมบัติไว้จนกว่าบุตรจะโต แล้วกามนิตก็เดินทางมาพักที่บ้านช่างปั้นหม้อนี้
กามนิตเล่าจบแล้ว พระพุทธองค์ตรัสว่า “ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์” ซึ่งกามนิตเชื่อว่าเป็นความจริงที่ลึกซึ้ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบว่ากามนิตอยากได้พระสมณโคดมศากยบุตรเป็นศาสดา พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาหลักธรรมโดยบอกว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่กามนิตเห็นว่าไม่ได้ยินจากพระโอษฐ์ของพระศาสดาเองจึงไม่สนใจหลักธรรมนั้นเพราะใส่ใจอยู่ในกามสุขและยึดตัวบุคคลคือพระพุทธองค์
เช้าวันรุ่งขึ้นกามนิตรีบเดินทางแต่เช้าเพื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพราะทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่สวนมะม่วง ระหว่างทางกามนิตถูกโคบ้าขวิดบาดเจ็บสาหัส และสิ้นชีพก่อนที่จะมีโอกาสได้เฝ้าพระพุทธองค์ เมื่อสิ้นชีพแล้วกามนิตจึงไปเกิดในสุขาวดีแดนสวรรค์
ในภาคสวรรค์กามนิตได้พบกับวาสิฏฐี ทั้งคู่ได้กลิ่นหอมจากต้นปาริชาติ ทำให้ระลึกความหลังในชาติก่อนๆ ได้ วาสิฏฐีเล่าให้กามนิตฟังว่าที่ยอมแต่งงานกับสาตาเคียรเพราะสาตาเคียรให้องคุลีมาลหลอกวาสิฏฐีว่าได้ฆ่ากามนิตแล้ว แต่ภายหลังเมื่อองคุลีมาลถูกสาตาเคียรให้คนลอบทำร้าย องคุลีมาลคิดแค้นจึงบอกความจริงแก่วาสิฏฐี ต่อมาองคุลีมาลได้พบพระพุทธองค์จึงบวชเป็นภิกษุและละความอาฆาตแค้นทั้งปวง ฝ่ายวาสิฏฐีบวชเป็นภิกษุณีและได้รับพระพุทธวจนะให้ภาวนาบทธรรมว่า “ที่ใดมีความรัก ที่นั้นมีความทุกข์” แต่นางไม่สามารถสงบใจได้ คงหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องความรักจึงไม่อาจบรรลุความเห็นแจ้งในการดับทุกข์ วาสิฏฐีขอให้ภิกษุองคุลีมาลไปสืบข่าวกามนิตที่กรุงอุชเชนี เมื่อรู้ว่ากามนิตยังมีชีวิตอยู่ เป็นเศรษฐีมั่งมีและมีภรรยาแล้ว วาสิฏฐีก็สิ้นหวัง อาการอาพาธหนักขึ้น เมื่ออาการทุเลาวาสิฏฐีเดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์ถึงเมืองกุสินารา ได้มีโอกาสฟังพระปัจฉิมวาจาที่ว่า “อันสังขารทั้งหลายมีแต่เสื่อมไปเป็นธรรมดา ขอท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญกุศลให้เต็มที่ด้วยความไม่ประมาทเถิด” วาสิฏฐีสิ้นกำลังดับชีพลงแล้วไปเกิดในแดนสุขาวดี ได้พบกับกามนิตตามที่ได้สัญญาไว้ แม้กามนิตและวาสิฏฐีได้อยู่บนสวรรค์แต่ก็เป็นมายา ไม่คงที่ ทั้งสองจึงตั้งจิตไปเกิดใหม่ในพรหมโลก เป็นเทพประจำดาวแฝด และได้รู้ว่าการเกิดในภพต่าง ๆ นั้นไม่คงที่แน่นอน วาสิฏฐีสิ้นชาติสิ้นภพไปก่อน กามนิตรำลึกถึงข้อธรรมที่ภิกษุบอกแก่ตนในบ้านช่างปั้นหม้อ และเมื่อประจักษ์ว่าภิกษุรูปนั้นคือพระพุทธองค์ก็ยึดเอาพุทธนิมิตไว้อย่างแน่นแฟ้น มุ่งสู่วิถีแห่งความสิ้นทุกข์ ในที่สุดดาวกามนิตก็ดับไป