คดีที่ 1 สคาร์พสีน้ำเงิน
นางอองริเอ็ตต์ ไคล์ยารด์ (มาดามลัวเส็ล) เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา มองสิเออร์ชาร์ลล์ ลัวเส็ลผู้เป็นสามีบอกว่าเธอถูกยาพิษ เบคพยายามหาหลักฐาน สืบประวัติและสอบสวนผู้เกี่ยวข้อง จนรู้ว่ามาดามลัวเส็ลถูกฆาตกรรมด้วยยาพิษจากสคาร์พสีน้ำเงินซึ่งเป็นแมลงทับจำลองของไอยคุปต์โบราณ ฆาตกรคือเพื่อนสาวคนสนิทของผู้ตายชื่อเลโอนี เมนารด์ซึ่งชอบพออยู่กับลัวเส็ล
คดีที่ 2 เค้าเงื่อนแห่งประโยคหนึ่งในหนังสือพิมพ์
มีผู้พบศพหญิงนิรนามคนหนึ่งที่ร้านเครื่องเพชร ร่างของเธอถูกมัดด้วยลวด เสื้อผ้าชั้นนอกถูกเปลื้องออก ที่คอมีรอยเขียวช้ำ จากการชันสูตรพบว่าเธอเสียชีวิตด้วยไอพิษ ส่วนร่องรอยต่างๆ นั้นฆาตกรจงใจเบี่ยงเบนความสนใจ เมื่อเบคตามสืบคดีก็พบว่าที่เมืองอื่นก็มีผู้ถูกฆาตกรรมในลักษณะนี้มาแล้ว 3 ราย จึงเชื่อว่าเป็นฝีมือของฆาตกรกลุ่มเดียวกัน ในขณะนั้นหนังสือพิมพ์อนาร์คิสต์ฉบับหนึ่งลงข่าวกล่าวโทษและเยาะเย้ยกรมตำรวจว่า “เป็นกรมบกพร่องและไร้ความสามารถ” ต่อมาเบคพบวัตถุพยานเป็นไม้ชิ้นหนึ่งเรียกว่า “ไม้สามชั้น” ซึ่งคนร้ายใช้ทำเป็นหีบใส่ร่างผู้เสียชีวิตมาทิ้งไว้ จึงสืบตามเส้นทางการซื้อขายไม้ จนรู้ว่าผู้มีอันจะกินคนหนึ่งชื่อยูลส์ บลองโด (หรือคูสตอลล์) ได้ร่วมกับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์อีกสามคนก่อคดีฆาตกรรมเพื่อท้าทายกฎหมายและทำให้ประชาชนเกลียดชังตำรวจ เมื่อทั้งสี่ถูกจับได้ คูสตอลล์ต้องโทษประหารชีวิต ส่วนพวกที่เหลือถูกจับขังคุกอยู่ที่เกาะผี
คดีที่ 3 ความลับแห่งมรกตเกลบอฟ
จี้มรกตเกลบอฟอัญมณีล้ำค่าของคองต์ เดอะ ทิโยคูรย์ถูกโจรกรรมไป ท่านคองต์จึงให้เบคช่วยสืบหา ท่านคองต์สงสัยสาวใช้ชื่อลูอีส ปะแปง แต่คุณหญิงผู้เป็นภรรยากลับแก้ต่างให้ และลูอีส ปะแปงเองก็ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง เบคเฝ้าสังเกตและหาข้อมูลของผู้เกี่ยวข้อง จนรู้ว่าทนายความชื่อกิลแบรต์เพื่อนบ้านคนสนิทของท่านคองต์ได้บอกขายจี้มรกตเกลบอฟแก่ชาวยิว เบคจึงไปทวงจี้มรกตคืน และได้รู้ความจริงว่าคุณหญิงเป็นผู้ให้กิลแบรต์นำจี้มรกตไปขายแล้วจะหนีตามกันไป เมื่อคดีคลี่คลาย เบคยังคงเก็บความลับเรื่องชู้สาวนี้เอาไว้เพื่อไม่ให้ท่านคองต์ต้องเสื่อมเสีย
คดีที่ 4 ถนนมะละกอฟ
นักสะสมเครื่องเงินโบราณ ชื่อกัสต็อง เลเวค เสียชีวิตอยู่ในห้องชุดที่ถนนมะละกอฟ เบคกับผู้ช่วยไปสืบคดีพบว่าเครื่องเงินทั้งหมดหายไป นาฬิกาทองเหลืองชนิดสายลูกถ่วงแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่เกลื่อนห้อง จากการชันสูตรพบว่าผู้ตายถูกยิงทางด้านหลังทะลุลำคอ ไม่พบหลักฐานที่แสดงว่าผู้ร้ายเป็นใครและเข้ามาขนเครื่องเงินในห้องไปได้อย่างไร ผ่านไปหลายเดือนคดีไม่คืบหน้า สุดท้ายเมื่อเบคสืบประวัติของกัสต็อง เลเวค จึงรู้ว่าเขามีบุตรสาวคนหนึ่ง ขณะนี้เธอไปขอรับเงินประกันชีวิตของบิดา เบคจึงคลี่คลายคดีได้ว่ากัสต็อง เลเวควางแผนฆ่าตัวตายเพื่อให้บุตรสาวได้เงินประกัน ด้วยการนำปืนและดินระเบิดไปใส่ในนาฬิกาทองเหลือง ตั้งกลไกเอาไว้ เมื่อปืนลั่นถูกกัสต็อง เลเวค ดินระเบิดก็ทำงานทำลายนาฬิกาไม่ให้เป็นหลักฐานในการสืบคดี
คดีที่ 5 รูที่ผนัง
หญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งขอให้เบคช่วยค้นหามอลลี เดร็กเซลล์พี่สาวซึ่งหายไปจากโรงระบำที่กรุงปารีส เธอเล่าว่าก่อนมาปารีสพี่สาวชอบพออยู่กับหนุ่มชาวฝรั่งเศสชื่ออาร์มองด์ ลองกลัวส์ เมื่อเบคกับผู้ช่วยโรแคร์ไปสืบคดีจึงได้รู้ว่ามอลลีกับอาร์มองด์เปิดห้องเช่าอยู่ตรงข้ามกัน เบคเข้าใจว่าทั้งสองคงพากันหนีไปเพราะบิดามารดาฝ่ายชายกีดกัน แต่โรแคร์ไม่เชื่อเพราะมีข้อสงสัยหลายอย่าง โดยเฉพาะรูประหลาด 2 รูที่ผนังห้องของมอลลี เมื่อสืบต่อไปจึงรู้ว่านายธนาคารผู้มั่งมีชื่อเฮนรี เวร์เน็สโค ซึ่งมาติดพันมอลลีก็หายตัวไปด้วย ต่อมาอาร์มองด์กลับมาปารีส เขาเล่าว่าได้ชวนมอลลีหนีไปเมืองบูเอโนสอายเรส สุดท้ายมอลลีทิ้งเขาไปอยู่กับชายอื่น แต่เมื่อสองวันก่อนเธอโทรเลขมาบอกว่าจะกลับมาปารีส หลังจากอาร์มองด์กลับไปที่ห้องเช่า พบว่ามีกลิ่นเหม็นจากหีบที่มอลลีฝากไว้ เมื่อเบคไปตรวจสอบก็พบศพนายธนาคารพร้อมอาวุธที่ใช้สังหารคือลูกรอกทองเหลืองกับเชือกไหม เบคจึงส่งโทรเลขด่วนไปที่เมืองบูเอโนสอายเรสให้ช่วยจับตัวฆาตกร แต่ได้รับโทรเลขตอบกลับมาว่าเธอตายแล้วด้วย “โรคไข้ท้องเสีย”
คดีที่ 6 นางสาวลึกลับ
ภรรยาของอองรี ลือโตด์เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา หมอดอร์นัวส์ผู้คุ้นเคยกับครอบครัวของลือโตด์วินิจฉัยว่าเธอตายด้วยโรคประจำตัว ต่อมาโรแคร์สืบจนรู้ว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกมหาศาล มีเพื่อนสนิทคือนางสาวโคลตีลด์ซึ่งลอบพบกับลือโตด์ และลือโตด์เองก็มักทะเลาะกับภรรยาเพราะเรื่องโคลตีลด์ เบคจึงสงสัยว่าลือโตด์น่าจะฆ่าภรรยาเพื่อจะได้มรดก แต่โรแคร์ไม่เห็นด้วยเพราะพินัยกรรมระบุว่ายกทรัพย์ทั้งหมดให้โคลตีลด์ ต่อมาหมอชันสูตรแจ้งว่าผู้ตายตายเพราะยาพิษ และจากนั้นไม่นานลือโตด์ก็เสียชีวิตด้วยยาพิษชนิดเดียวกัน เบคจึงให้โรแคร์สืบความจนรู้ว่าภรรยาของลือโตด์ตายเพราะกินลูกพีชฉีดยาพิษของหมอดอร์นัวส์ ส่วนลือโตด์เองก็ถูกฆ่าด้วยวิธีเดียวกัน เพราะหมอดอร์นัวส์ชอบโคลตีลด์ แต่ถูกปฏิเสธเพราะเธอรักลือโตด์ เมื่อโรแคร์ไปตามจับ หมอดอร์นัวส์ยอมรับสารภาพ ระหว่างรอขึ้นศาลหมอดอร์นัวส์ก็เสียชีวิตเพราะโรคปอดบวม
คดีที่ 7 คดีถนนเทเรส
ตึกห้าชั้นแห่งหนึ่งบนถนนเทเรสถูกระเบิดทำลาย มีคนตายเป็นจำนวนมาก เบคให้ผู้ช่วยไปสืบและสะกดรอยตามผู้ที่น่าจะเกี่ยวข้อง หนึ่งในนั้นคือมาร์เกรีต ชัลเลต์ลูกสาวนายประตูที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ได้ข้อมูลว่าเธอเป็นคนรักของมาร์ชองด์นายเสมียนธนาคาร วันหนึ่งนางสาวชัลเลต์ไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่ง ทางร้านจับได้ว่าเธอจ่ายเงินด้วยธนบัตรปลอม เบคจึงตามไปสอบถามเพราะคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับตึกที่ถูกระเบิด ชัลเลต์เล่าว่าที่ตึกเกิดเหตุ มีชาย 2 คนเช่าห้องชุดไว้ผลิตธนบัตรปลอมให้มาร์ชองด์เอาไปสับเปลี่ยนกับธนบัตรจริง ต่อมาอุมแบร์โต รุฟโฟผู้เป็นพ่อครัวรู้เข้า จึงกรรโชกทรัพย์จากคนทั้งสาม ภายหลังมาร์ชองด์คิดกำจัดผู้เกี่ยวข้อง จึงนัดทุกคนให้มาประชุมที่ห้องผลิตธนบัตร แล้วลอบเอาระเบิดตั้งเวลาไปซุกไว้ที่ห้องใต้ดินซึ่งตรงกับห้องนัดพบ แต่รุฟโฟรอดตายเพราะไปถึงช้า รุฟโฟจึงกรรโชกทรัพย์จากมาร์ชองด์ต่อไป ส่วนมาร์ชองด์ไม่ต้องการให้นางสาวชัลเลต์เปิดเผยเรื่องการทำธนบัตรปลอม จึงบังคับให้เธอแต่งงานด้วย ต่อมารุฟโฟและมาร์ชองด์ถูกจับ รุฟโฟต้องติดคุก 10 ปี ส่วนมาร์ชองด์ถูกลงโทษประหารชีวิต
คดีที่ 8 บ้านวิลลายัสแมง
หญิงคนใช้ของบ้านวิลลายัสแมงแจ้งว่ามาดามเคโนต์หญิงหม้ายผู้เป็นนายถูกลิงทโมน (อุรังอุตัง) บีบคอตายในเวลากลางคืน เบคไม่เชื่อว่าจะมีลิงหลุดมาทำร้ายคนได้ แต่บุคคลแวดล้อมต่างให้การทำนองเดียวกันว่าเห็นลิงปรากฏตัวอยู่ในย่านนั้น ทั้งผู้เชี่ยวชาญทางสัตวศาสตร์ก็ยืนยันว่ารอยเท้าที่พบบริเวณบ้านเป็นรอยเท้าลิง เมื่อผู้ช่วยของเบคพบถุงเท้าแพรกับก้นเทียนไขซึ่งไม่ใช่ของผู้ตายจึงไปตรวจหาแหล่งผลิต พบว่าถุงเท้านั้นหญิงในคณะละครเป็นผู้สั่งทำเป็นพิเศษ เมื่อเบคไปพบหญิงคนนั้นแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เธอบอกว่ามีชายชราคนหนึ่งในคณะละครแสดงเป็นลิงทโมนได้เหมือนจริงมาก เบคจึงแสดงตัวเข้าจับกุม ชายผู้นั้นรับสารภาพว่าเป็นผู้ฆ่ามาดามเคโนต์เพราะแค้นที่เธอเข้าใจว่าเขาตายและพาลูกสาวหนีไป และต่อมาเธอแต่งงานใหม่ ได้มรดกมหาศาลหลังจากสามีเสียชีวิต ชายผู้นั้นเล่าต่อไปว่ารู้สึกอยากฆ่าภรรยามานานแล้ว เมื่อสบโอกาสต้องไปแสดงใกล้ที่อยู่ของภรรยา คืนเกิดเหตุเมื่อแสดงเสร็จจึงฉวยถุงเท้าของนักแสดงหญิงแล้วไปฆ่าภรรยาทั้งเครื่องแต่งตัวอย่างลิง ศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าชายผู้นั้นเสียจริต จึงส่งไปคุมขังที่โรงพยาบาลสำหรับคนวิกลจริต
คดีที่ 9 นักพิฆาตแห่งโดวิลล์
ปิแยรร์ ดือ เบสส็อลกับนางสาวเอ็ลยาแต่งงานกันแล้วไปอยู่แถวชายทะเลที่อำเภอโดวิลล์ จังหวัดตรูวิลล์ ทั้งสองใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและเป็นหนี้จำนวนมาก แต่หลังจากที่เพื่อน 2 คนซึ่งมีประวัติโจรกรรมทรัพย์สินเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน สองสามีภรรยาก็กลับมั่งมีขึ้นอย่างมาก เมื่อเบคให้คนตามสืบข้อมูลก็รู้ว่าทั้งสองเป็นพวกมิจฉาชีพที่วางแผนทำประกันชีวิตให้เหยื่อ มีผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน คนหนึ่งเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญการเพาะเชื้อโรค อีกคนทำหน้าที่ตีสนิทและลอบใส่เชื้อโรคในอาหารให้เหยื่อกินจนป่วยตาย เมื่อผู้ต้องหาทั้งสี่ถูกจับ ศาลตัดสินประหารชีวิตหมอกับผู้ใส่เชื้อโรค ส่วนสองสามีภรรยานั้นถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
คดีที่ 10 คนรถยนต์กับแม่สาวน้อย
มารี โอบอเล็นสกี้ ลูกสาวเศรษฐีหายตัวไปพร้อมกับอองรี บิลโยต์ หนุ่มคนขับรถ บารอเน็สส์เข้าใจว่าบุตรสาวหนีตามคนขับรถเพราะพบข้อความนัดแนะที่เขียนด้วยลายมือของลูกสาว เมื่อเบคสอบถามบารอนเน็สส์กับจอน ลอสันหัวหน้าคนใช้ ทั้งสองให้การมีพิรุธ เบคจึงให้ผู้ช่วยจับตาดูลอสันไว้ วันหนึ่งลอสันนัดพบกับบิลโยต์ เบคตามไปจับบิลโยต์ได้ที่ตึกแห่งหนึ่งซึ่งมารี โอบอเล็นสกี้ถูกขังอยู่ เบคโทรศัพท์ให้จับบารอเน็สส์กับลอสัน แต่ทั้งสองลอบหนีไปแล้ว เมื่อสืบความต่อไปจึงรู้ว่าลอสันเป็นสามีเก่าของบารอเน็สส์ ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับบารอนโอบอเล็นสกี้เศรษฐีใหญ่ ภายหลังเธอกลับมาอยู่กับลอสันโดยไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ต่อมาบารอนโอบอเล็นสกี้ตาย เขาทำพินัยกรรมยกมรดกให้ลูกสาว บารอนเน็สส์กับลอสันจึงวางแผนฆ่ามารีเพื่อตนจะได้มรดก
คดีที่ 11 ผู้หญิงในคดี
ทางการจากสคอตแลนด์ยาร์ดให้เบคช่วยตามหายอร์ช ชาร์ลตัน เช็สสัน อย่างลับๆ โดยไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ ต่อมามีโจรขโมยเครื่องเพชรของภรรยาเลขานุการสถานทูตไปขณะโดยสารรถไฟ เบคกับผู้ช่วยโรแคร์สืบหาผู้ร้ายอยู่นานแต่ไม่พบเบาะแส โรแคร์สงสัยผู้โดยสารที่ชื่อกะมาโซซึ่งมีประวัติเป็นนักพนันและมั่งมีขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อสืบต่อไปจึงรู้ว่ากะมาโซกับเช็สสันคือคนเดียวกัน โรแคร์ไปพบหญิงผู้ช่วยของเช็สสันโดยอ้างว่ามาขอเครื่องเพชรและไข่มุกที่เช็สสันโยนจากรถไฟ เธอรู้ว่าโรแคร์เป็นนักสืบจึงยอมรับสารภาพและพาไปยังที่ซ่อนทรัพย์สิน ภายหลังเบครู้ว่าเหตุที่ทางการไม่ให้จับกุมเช็สสันเพราะเขาขโมยเครื่องเพชรของภรรยาเสนาบดีอังกฤษไป แต่เจ้าทรัพย์ไม่ต้องการเป็นข่าว จึงให้ปิดเป็นความลับไว้ ต่อมาเมื่อได้ตัวเช็สสันแล้ว เขายอมคืนเครื่องเพชรให้เพื่อแลกกับการที่จะไม่ถูกดำเนินคดี
คดีที่ 12 ถุงมือต่วนดำ
มีผู้ทยอยส่งบัตรสนเท่ห์ไปที่กรมตำรวจลับเพื่อเย้ยหยันและประจานการทำงานของตำรวจที่ “ขาดความสามารถ โง่บัดซบ และพ้นสมัย!” โดยลงนามท้ายบัตรว่า “ถุงมือต่วนดำ” และส่งถุงมือต่วนดำข้างหนึ่งไปให้ด้วยเพื่อท้าทายตามแบบยุโรปโบราณ เมื่อได้รับบัตรสนเท่ห์ฉบับแรกๆ เบคเพิกเฉยเพราะคิดว่าเป็นการกระทำของคนบ้า แต่เมื่อคนร้ายขู่จะโจรกรรมทรัพย์สินและต่อมาขู่วางเพลิงก็เป็นจริงตามนั้น เบคกับผู้ช่วยโรแคร์จึงสืบหาผู้ทำถุงมือจนพบ ผู้ทำถุงมือเล่าว่าชายชื่อบิเนต์เป็นผู้สั่งทำถุงมือต่วนดำให้นางเอเลน แซร์น็องใส่ไปในงานเต้นรำ เมื่อโรแคร์ไปสอบถามแซร์น็อง เธอบอกที่อยู่ของบิเนต์ให้ ผู้ช่วยของเบคจึงตามจับตัวได้ ตอนแรกบิเนต์ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อผู้ช่วยของเบคออกอุบายให้คนร้ายเขียนหนังสือไปบอกแม่ว่าจะไม่กลับบ้าน จึงเห็นว่าลายมือนั้นตรงกับในบัตรสนเท่ห์ เมื่อตุลาการไต่สวนพบว่าบิเนต์เป็นคนวิกลจริต และที่เขาวางแผนทั้งหมดเพราะแค้นที่เคยถูกตำรวจจับ สุดท้ายจึงตัดสินให้ส่งบิเนต์ไปที่โรงพยาบาลวิกลจริต