นิทานทหารเรือมีจำนวน 5 เรื่องตามลำดับดังต่อไปนี้
เรื่องที่ 1 การรักษาทางไมตรี
ที่จังหวัดเว็สต์มินสเตอร์มีสำนักงานบริษัทช่างกลแห่งหนึ่งอยู่ใต้สถานทูตของริปับริคแห่งคัลซิวาเนีย ในวันนักขัตฤกษ์ของประเทศนั้นมีการชักธงข้างนอกหน้าต่างสถานทูต ผู้อำนวยการบริษัทช่างกลกำลังนั่งทำงานอยู่ด้วยความรำคาญ เพราะธงนั้นปลิวกระพือถูกกระจกเกิดเสียงดัง นายช่างจึงเอาสมุดหนังสือและขวดหมึกวางเรียงไว้บนขอบหน้าต่าง แล้วเอาเชือกมาผูกธงไว้กับสิ่งเหล่านั้น เอกอัครราชทูตคัลซิวาเนียมาเห็นก็ไม่พอใจจนเกือบจะเกิดเรื่องระหว่างประเทศ ขณะนั้นเด็กรับใช้ในสำนักงานบริษัทช่างกลไปพบท่านทูต สารภาพผิด และวิงวอนขออภัย ประเทศจึงรอดพ้นจากภัยสงครามได้ครั้งหนึ่ง
ปี 1914 มีการประกาศสงครามระหว่างอังกฤษกับตุรกีเนื่องจากขณะที่เรือรบทอราของอังกฤษจอดอยู่หน้าเมืองมุฮัมเบราห์ มีเรือปืนตุรกีลำหนึ่งทอดสมออยู่ใกล้ ๆ สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด ผู้บังคับการเรือปืนตุรกีมาเจรจาความกับอังกฤษ ผู้บังคับการเรือตุรกีอ้างว่าได้รับคำสั่งจากคอนสตันติโนโปลให้แจ้งฝ่ายอังกฤษว่า เรือทอราต้องไปจากเมืองมุฮัมเบราห์ในทันที ผู้บังคับการเรืออังกฤษบอกว่าต้องโทรเลขไปขอคำสั่งก่อน ผู้บังคับการเรือตุรกีมาที่เรือรบอังกฤษเพื่อฟังข่าวอีกหลายครั้งแต่ยังไม่มีความคืบหน้า วันหนึ่ง ฝ่ายนายเรืออังกฤษชวนดื่มวิสกี้ แต่ฝ่ายตุรกีไม่ดื่มของเมาจึงขอน้ำซ่ารบัต 1 ถ้วย
ต่อมาผู้บังคับการเรือตุรกีมีอาการนั่งตัวแข็ง สีหน้าเปลี่ยนไป สักครู่ก็ลุกขึ้นจ้องมองฝ่ายตรงข้ามแล้วฉวยหมวกลงเรือกรรเชียงจากไป เมื่อผู้บังคับกองเรืออังกฤษซักถามบ๋อยก็ได้ความว่าน้ำซ่ารบัตนั้นเป็นน้ำมะนาวขวดกับน้ำตาล และบ๋อยได้ใส่ผงขาว ๆ ที่อยู่ในห้องนอนลงไปด้วย คืนนั้นนายทหารตุรกีส่งโทรเลขไปยังคอนสตันติโนโปลเรื่องน้ำซ่ารบัต ต่อมาอีก 48 ชั่วโมงก็ได้ประกาศสงคราม
เรื่องที่ 2 นารีสนาน
ผู้บังคับการเรือปืนกลุ่มหนึ่งไปถึงเมืองบุสราห์เพื่อรอเรือที่กำลังต่อขึ้นใหม่ วันหนึ่งพวกนายทหารเรือฝรั่งนัดกันจะไปยิงนก แต่โตบีผู้บังคับการเรือคนหนึ่งอ้างว่าติดธุระไปด้วยไม่ได้ นายทหารคนอื่น ๆ จึงออกเดินทางโดยอะหมัดคนแจวเรือกับผู้ช่วยถ่อเรือไปขึ้นบกที่ลำน้ำยูเฟรติส แล้วพากันล่านก แต่วันนั้นไม่ค่อยมีนก พวกนายทหารจึงเดินกลับไปที่เรือ ระหว่างทางพบชายชราชาวอาหรับผู้สง่างามคนหนึ่งกับคนรับใช้ ชายชราคุยเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังอย่างสนุกสนาน และชวนให้นายทหารเหล่านั้นไปดูภรรยาของพวกตนเล่นน้ำ ชายชราสั่งให้คนรับใช้นำทางไป แล้วบอกให้นายทหารทิ้งข้าวของและอาวุธปืนไว้ตรงนั้นเพื่อไม่ให้เป็นภาระ จากนั้นชายชราก็เข้าไปเลือกปืนกระบอกหนึ่งลงเรือ ให้อะหมัดกับเพื่อนถ่อเรือไปยิงนกได้หลายตัว
พวกนายทหารเดินตามคนรับใช้อาหรับไม่ทันเพราะเดินเร็วมาก และไม่ถึงที่หมายสักที ในที่สุดคนรับใช้ก็เดินล่วงหน้าหายไป และไปลงเรือพายกลับไปบ้านของตน เหล่านายทหารอังกฤษลงนั่งพักด้วยความเหนื่อยและร้อน แล้วพากันเดินกลับ 1 ชั่วโมงต่อมาจึงพบเรือของอะหมัด มีโตบีนั่งกินเบียร์กับแฮมอยู่ โตบีถามเป็นนัย ๆ ถึงการไปดูภรรยาอาหรับอาบน้ำ และพูดถึงปืนที่หยิบเอาไปด้วยว่าได้ใช้ยิงนกได้หลายตัว เมื่อโตบีหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นหนึ่งข้าง ๆ ตัวเขาขึ้นมา เพื่อนทหารก็เห็นว่า ใต้กระดาษมีชุดชาวอาหรับและหีบเครื่องแต่งหน้าละคร เพื่อน ๆ จึงเข้าใจได้ว่าเสียรู้โตบีผู้ปลอมตัวเป็นชายชราอาหรับ
เรื่องที่ 3 ปิคนิค ณ เมโสโปเตเมีย
นายทหารเรืออังกฤษ 4 คน ไปประจำการอยู่ในเมโสโปเตเมียระหว่างการสงครามกับตุรกี คนหนึ่งเป็นผู้บังคับการเรือไฟ๎ลแต๎ร๊ป เขาอยากเป็นนักบวชเพราะเมื่อแต่งชุดนักบวชแล้วเขาดูดีมาก คนหนึ่งมีฉายาว่าการิบัลดี เป็นผู้บังคับการเรือสค๎วอชไฟ๎ล อีกคนหนึ่งเป็นต้นหนเรือของเขา ส่วนผู้เล่านิทานเรื่องนี้เป็นผู้บังคับการเรือสค๎รันช์ไฟ๎ล
วันหนึ่งนายทหารเรือทั้ง 4 คนตกลงจะไปเที่ยวปิกนิก ผู้บังคับการเรือไฟ๎ลแต๎ร๊ปบอกว่าจะแต่งชุดนักบวช การิบัลดีจะแต่งเป็นท้าวคะนุต (กษัตริย์โบราณในพงศาวดารอังกฤษ) ต้นหนเรือจะแต่งเป็นนักกีฬากรีก ส่วนผู้บังคับการเรือสค๎รันช์ไฟ๎ลจะแต่งตัวเป็นบอยสเค้าต (ลูกเสือ) การเดินทางครั้งนี้มีพลทหาร 2 คนช่วยขนของกิน คนแต่งชุดนักบวชเป็นผู้นำขบวนถือผ้าปูโต๊ะสีขาวชูอยู่แทนธงและเดินร้อง คล้ายเสียงสวดไปตลอดทาง
เมื่อเดินไปถึงเชิงเทิน นายทหารตุรกีประจำป้อมแบลลี่ไฮเข้ามสอบถาม กลุ่มนายทหารอังกฤษบอกว่าเดินทางมาปิกนิก แล้วชวนให้นายทหารตุรกีร่วมกินและดื่มด้วย สักครู่คนแต่งชุดนักบวชนำเนยแข็งออกมาเปิด ขณะลอกกระดาษตะกั่วที่หุ้มห่อเนยแข็งจนถึงจุกที่มีปูนยาไว้และกำลังแคะปูนออก ทันใดนั้นเขาก็โยนกระปุกไปไกลตัวแล้วฟุบลง กระปุกตกแตกมีเสียงดังฟูด นายทหารผู้เล่าเรื่องเห็นเหมือนหมอกสีน้ำเงินอยู่รอบตัวและรู้สึกอ่อนเพลียจนฟุบไป
พลทหารเรือ 2 คนที่มาด้วยกันช่วยนายทหารเรือผู้เล่าเรื่องไว้ ส่วนคนอื่น ๆ ยังพาออกมาไม่ได้เพราะกลิ่นแก๊สฉุนมาก แต่สักครู่ทหารบกอังกฤษพร้อมพยาบาลก็มาช่วยเพราะมองเห็นเหตุการณ์จากกล้องส่องทางไกล ทหารบกอังกฤษจับทหารตุรกีที่นอนกลิ้งอยู่เพราะฤทธิ์เนยแข็งและยึดป้อมแบลลี่ไฮได้ มีข่าวเผยแพร่ออกไปว่าพวกนายทหารอังกฤษเข้าปล้นและตีได้ป้อมแบลลี่ไฮ จับนายทหารได้คนหนึ่งและพลทหาร 32 คน นายทหารตุรกีโกรธมากร้องว่า “ดูสิเอ้า ! ปล้นและตีป้อมแบลลี่ไฮ ! นั่นหรือเรียกว่าปล้นตีป้อม ? นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีป้อมอยู่ที่นั่นจนผมบอกให้. นายว่าข่าวสงครามเยอรมันโกหก, แต่คงไม่หาญโกหกเท่าอังกฤษเป็นแน่ละ !”
เรื่องที่ 4 ความลำบากแห่งลอคินวาร์
ในน่านน้ำยูเฟรตีส กองทัพอังกฤษกำลังว่างจากการรบ มีเรือปืนสแม็คไฟ๎ลและสแค็ตเตอร์ไฟ๎ล ทำหน้าที่ตรวจตราน่านน้ำ เวลานั้นเป็นฤดูร้อน น้ำในลำน้ำแห้งมาก จนเรือแล่นไม่ได้ โตบีนายทหารผู้บังคับการเรือสแม็คไฟ๎ลใช้เวลาว่างนี้ศึกษาประเพณีและภาษาอาหรับโดยเฉพาะเรื่องเครื่องแต่งกายของชาว
ขณะที่ผู้บังคับการเรือสแค็ตเตอร์ไฟ๎ลหรือที่ทหารเรือเรียกว่าลอคินวาร์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ มีทหารมารายงานว่าล่ามประจำเรือสแค็ตเตอร์ไฟ๎ลพาหญิงผู้ดีชาวอาหรับมาขอพบ หญิงนั้นคลุมหน้ามิดชิด เดินเข้าไปหาลอคินวาร์แล้วคุกเข่าลงก้มศีรษะ เล่าว่าเธอเป็นลูกสาวเฉก (หัวหน้า) ผู้หนึ่ง บิดามารดาตายหมดแล้ว เธออยู่กับมารดาเลี้ยงมักถูกเฆี่ยนตีบ่อย ๆ มารดาเลี้ยงจะให้เธอแต่งงานกับชายที่เป็นคนไม่ดี ไม่สมควรกับลูกสาวเฉก
ลอคินวาร์ซักถามผ่านล่ามได้ความว่าหญิงนั้นขอให้ลอคินวาร์รับนางให้อาศัยอยู่ในเรือด้วย เพราะถ้ากลับไปที่หมู่บ้านก็คงถูกฆ่าตาย ลอคินวาร์ถามชื่อ เธอตอบว่าชื่อ “เล๊กปูลีนา” เมื่อสั่งให้เปิดผ้าคลุมหน้าออก เธอกลับวิ่งหนีไปอยู่ในที่ไม่มีแสงไฟ ลอคินวาร์ไล่ตามหญิงนั้นและบอกว่าจะไม่เล่นกับเธอ ฝ่ายล่ามคิดว่านายไม่ใช้งานแล้วก็เดินไปอยู่ท้ายเรือ ลอคินวาร์ไม่รู้ว่าล่ามกลับไปแล้วก็ร้องถามว่าหญิงนั้นอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นเขาก็ต้องสะดุ้งเพราะมีเสียงคนพูดขึ้นว่า “ฉันเอาวิสกี้มาด้วยขวดหนึ่ง, แต่ไม่มีโซดา.หวังใจว่าแกมีบ้างนะ.” เมื่อลอคินวาร์เหลียวไปดูก็เห็นเล๊กปูลีนายืนอยู่ ผ้าคลุมหน้าพาดอยู่ที่ไหล่ ใบหน้านั้นคือหน้าของโตบี ชื่อ “เล๊กปูลีนา” อธิบายได้ตามภาษาคะนองของอังกฤษ คือศัพท์ว่า 'เล๊กปุลลิง' — แปลตรง ๆ ว่า 'ดึงฃา'— หมายความว่าการล้อเล่นนั่นเอง.”
เรื่องที่ 5 การช่วยนางงาม
ค่ำวันหนึ่งในฤดูร้อน ราชนาวีอังกฤษในเมโสโปเตเมียมีการประชุมบนเรือกลไฟชื่อสแต๎ร็ดดลบัคเพื่อเลี้ยงฉลองนายทหารคนหนึ่งที่ได้รับเหรียญตราและบำเหน็จในราชการ เรือกลไฟนี้จอดอยู่ใกล้ดงตาลแห่งหนึ่ง มีเรือปืนลำย่อมล้อมรอบอยู่หลายลำ ได้แก่ เรือสค๎ว๊อชไฟ๎ล เรือส๎ว็อชไฟ๎ล เรือส๎ครันช์ไฟ๎ล เรือเส๎ดย์ไฟ๎ล เรือแก๎ร๊บไฟ๎ล เรือคลอไฟ๎ล และเรือสแค็ตเตอร์ไฟ๎ล ลอคินวาร์ผู้บังคับการเรือสแค็ตเตอร์ไฟ๎ลอยากให้มีผู้หญิงไปในงานนั้นด้วย แต่นายทหารเรือคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วยเพราะไม่เป็นเกียรติแก่นายทหารเรือ
การเลี้ยงในค่ำวันนั้นดำเนินไปอย่างสนุกสนานมีผู้มาร่วมงานจำนวนมากยกเว้นต้นเรือสแต๎ร็ดดลบัคที่มีฉายาว่าเฮอร์คูลีสซึ่งไปกินอาหารกับโตบีในเรือสแม๊กไฟ๎ล เมื่อเสร็จงานเลี้ยงคืนนั้นแล้ว ทุกคนต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้อง เรือส๎ว็อตไฟ๎ลเปิดไฟฉายส่องไปยังดงตาลริมฝั่ง เห็นชายอาหรับร่างสูงล่ำสันอุ้มพยาบาลสาวผู้หนึ่งไป ศีรษะหญิงนั้นซบอยู่กับบ่าชายอาหรับ แขน 2 ข้างห้อยลง พอนายทหารเรือเอะอะกันขึ้นชายอาหรับก็เดินหลบห่างจากฝั่งหายเข้าไปในดงตาล เหล่านายทหารเรือออกตามล่าชายผู้นั้น ลอคินวาร์วิ่งเข้าไปในดงตาล แต่เมื่อกระโดดข้ามคลองกลับพลาดตกน้ำไป การิบัลดีแห่งเรือส๎ค๊วอชไฟ๎ลวิ่งไปทางเดียวกัน และพลาดตกลงไปในโคลน ผู้บังคับการเรือสแตร็ดดลบัคนำทหารขึ้นบกพร้อมด้วยปืนกล ลอคินวาร์กับการิบัลดีเดินตามหาชายอาหรับไปจนถึงค่ายของพวกทหารบก เมื่อถามทหารยามว่า “มันไปทางไหน” ทหารยามย้อนถามว่า “คุณถามถึงนายทหารเรือสองคนหรือขอรับ”
การิบัลดีสงสัยว่า “อ้ายยามนั่นมันหมายความว่ากระไรหนอเมื่อมันพูดถึงนายทหารเรือ 2 คน? ฉันเฃ้าใจว่าคนอื่นๆ อยู่ข้างหลังเราทั้งนั้นนี่นะ.” เมื่อย้อนกลับไปถามทหารยามก็ได้รับคำตอบว่ามีนายทหารเรือมา 2 คน คนหนึ่งสูง คนหนึ่งเตี้ย ถือห่อของหนีบรักแร้ไปด้วย เมื่อค้นหาได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง ทุกคนก็กลับไปที่เรือด้วยความเหน็ดเหนื่อย ผู้บังคับการเรือสแต๎ร็ดดลบัคเห็นว่าเฮอร์คูลีสนั่งสบายอยู่ที่หัวโต๊ะอาหารและเมื่อเดินเลี้ยวปืนใหญ่ไปก็เห็นแขกของเฮอร์คูลีสที่ชื่อโตบีกับกองเสื้อผ้าของชายอาหรับและเสื้อผ้าของนางพยาบาล