ปาชาเป็นตำแหน่งขุนนางสูงสุดฝ่ายข้าราชการพลเรือนและทหารของเตอร์กี มีเฉพาะในสมัยราชวงศ์ออตโตมานในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ต่อมาก็หมดอำนาจลง นิยายเอกของปาชาคงจะแต่งในสมัยที่ปาชาเสื่อมอำนาจแล้วเพราะเป็นเรื่องล้อเลียนและเสียดสีปาชาอย่างชัดเจน
ปาชาในนิทานเรื่องนี้เดิมเป็นช่างตัดผม แต่มีความกล้าหาญจึงได้รับราชการในกองทัพ ต่อมาคิดอุบายกำจัดปาชาคนก่อนแล้วได้เป็นปาชาสืบมา ปาชามีช่างตัดผมประจำตัวคนหนึ่งชื่อมุสตาฟา เดิมเป็นทาสชาวกรีกชื่อเดเมตริอุส เดินทางเร่ร่อนมาจนถึงเขตแดนของปาชา เห็นช่องทางที่จะหากินได้คล่อง จึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม มุสตาฟาเป็นคนช่างประจบ ปาชาจึงตั้งให้เป็นวิเซียร์คือผู้ช่วยและที่ปรึกษาของปาชา
มุสตาฟาเขียนหนังสือไม่เป็น จึงพูดชักจูงให้ปาชาเห็นว่าการเขียนหนังสือไม่จำเป็น ทั้งยังอาจเป็นหลักฐานมัดตัว สู้การสั่งด้วยวาจาไม่ได้เพราะอาจกลับคำเสียเมื่อใดก็ได้ มุสตาฟาพาบ่าวกรีกคนหนึ่งเข้ามาอ่านนิทานให้ปาชาฟัง ปาชาได้ฟังนิทานอาหรับราตรี*ก็ชอบใจมาก มุสตาฟาจึงแนะนำให้ปาชาเอาอย่างกาหลิบฮารูน อัลราษจิต ในนิทานอาหรับราตรี ซึ่งปลอมพระองค์ออกสังเกตความเป็นอยู่ของชาวเมืองอย่างใกล้ชิด
ปาชากับมุสตาฟาเดินเที่ยวในเมืองได้พบผู้คนต่างๆ ซึ่งเล่าเรื่องของตนให้ปาชาฟัง คือ เรื่องของคนเลี้ยงอูฐเป็นเรื่องที่ 1 เรื่องของบ่าวชาวกรีกเป็นเรื่องที่ 2 เรื่องของนักบวชอับเสลโมเป็นเรื่องที่ 3 ในเรื่องเล่าของนักบวชมีเรื่องแทรกที่เขาแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกผู้อุปการะเขาคือเรื่องที่ 3.1 เรื่องของโปโดร ปาชาอยากจะทำตามอย่างกาหลิบฮารูนในนิทานอาหรับราตรีจึงให้บันทึกเรื่องราวที่ได้ฟังเอาไว้ และเมื่อมีผู้มอบหนังสือนิทานเก่าให้ ปาชาก็สั่งให้แปลเป็นภาษาอาหรับแล้วเก็บไว้อ่านให้ฟังโอกาสต่อไป
มุสตาฟามีเพื่อนชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง เมื่อมาเข้านับถืออิสลามใช้ชื่อว่าสาลิม สาลิมคุมเรือสลัดของมุสตาฟาเที่ยวปล้นชาวเรืออยู่เป็นประจำ สาลิมแต่งเรื่องขึ้นว่าเขาชื่อหุกกะแบก เป็นกลาสีเรือ และเล่าเรื่องผจญภัยทางเรือทำนองเรื่องของสินบัทในอาหรับราตรีให้ปาชาฟังคือเรื่องการเดินเรือเที่ยวที่หนึ่งของหุกกะแบกเป็นนิทานเรื่องที่ 4 และเรื่องการเดินเรือเที่ยวที่สองของหุกกะแบกเป็นนิทานเรื่องที่ 5 เมื่อเล่าไปได้ 2 เรื่อง มุสตาฟาก็แนะนำให้ปาชาฟังเรื่องพบเกาะมะไดราที่ได้ต้นฉบับมาจากนักบวชผู้เคยเข้ามาเล่าเรื่องของเขาให้ปาชาฟัง มุสตาฟาให้บ่าวชาวกรีกแปลต้นฉบับนั้นไว้ แล้วนำเข้ามาอ่านให้ปาชาฟังเป็นนิทานเรื่องที่ 6
ปาชาฟังแล้วไม่ชอบใจ ให้เรียกหุกกะแบกเข้ามาเล่าเรื่องการเดินเรือเที่ยวที่สามของหุกกะแบก เรื่องการเดินเรือเที่ยวที่สี่ของหุกกะแบก เรื่องการเดินเรือเที่ยวที่ห้าของหุกกะแบก เรื่องการเดินเรือเที่ยวที่หกของหุกกะแบก และเรื่องการเดินเรื่องเที่ยวสุดท้ายของหุกกะแบกต่อไปเป็นนิทานเรื่องที่ 7-11 ตามลำดับ
ปาชาได้ฟังเรื่องที่สาลิมอุปโลกน์เป็นเรื่องของหุกกะแบกมาเล่าทั้ง 7 เรื่องก็ถูกใจมาก จึงตั้งสาลิมเป็นผู้บัญชาการทัพเรือ และให้ประหารผู้บัญชาการคนเก่าเสีย ฝ่ายมุสตาฟาอยากจะเอาใจปาชาจึงพานักเล่านิทานอีกผู้หนึ่งเข้ามาเล่าเรื่องคู่รักมีตำหนิเป็นนิทานเรื่องที่ 12
วันต่อมาปาชาออกตัดสินคดีตามคำแนะนำของมุสตาฟาผู้รับสินบนจากโจทก์บ้าง จำเลยบ้างเป็นประจำ ชายผู้หนึ่งแสดงความแคลงใจในผลการตัดสิน ปาชาเรียกมาซักถาม เขากล่าวว่าเขาเป็นคนช่างสงสัยมาเช่นนี้ และยังสงสัยการตัดสินคดีหนึ่งที่เขาประสบมา แล้วเขาก็เล่าเรื่องของหุทุสีเป็นนิทานเรื่องที่ 13
ปาชาได้ฟังก็ให้ตามตัวตุลาการและผู้เกี่ยวข้องในคดีที่หุทุสีเล่าเข้ามาพบ ปาชาตัดสินความให้ใหม่และสั่งหุทุสีว่าจะสงสัยสิ่งใดก็ได้ แต่ห้ามสงสัยความยุติธรรมของปาชาในการตัดสินคดีเท่านั้น
มุสตาฟาพากลาสีขี้เมาคนหนึ่งเข้ามาหาปาชาแล้วขอให้กลาสีแต่งเรื่องเล่าให้ปาชาฟัง คือเรื่องของกลาสีชาวอังกฤษเป็นนิทานเรื่องที่ 14 เมื่อเล่าจบแล้วปาชาก็ให้เงินรางวัล กลาสีลาจากมาและบอกว่ายังไม่เคยเห็นใครโง่เท่าปาชาเลย ปาชาให้ตามตัวนักเล่านิทานผู้เล่าเรื่องคู่รักมีตำหนิเข้ามาอีก ครั้งนี้เขาเล่าเรื่องคนตักน้ำเป็นนิทานเรื่องที่ 15
ปาชาได้ฟังนิทานแล้วก็พอใจ วันต่อมากวีจีนคนหนึ่งมาขอพบปาชา แล้วเล่าเรื่องประหลาดของพระเจ้าฮั่นเป็นนิทานเรื่องที่ 16
ปาชาได้ฟังกวีจีนเล่าเรื่องแล้วไม่ชอบใจนัก มุสตาฟาจึงชวนปลอมตัวออกไปเที่ยว พบหญิงชราผู้หนึ่งนางเล่าเรื่องของยายแก่เป็นนิทานเรื่องที่ 17
ปาชาได้ฟังเรื่องของหญิงชราก็รู้สึกสงสารจึงให้เงินแก่นาง ก่อนจากไปนางเตือนปาชาว่าให้ระวังคนใกล้ตัวจะช่วงชิงอำนาจไป ปาชาแคลงใจมุสตาฟาแต่ก็ไม่แสดงออก พยายามสืบจนรู้แน่ว่ามุสตาฟาสมคบกับผู้บัญชาการทัพเรือ ก็คิดกำจัดมุสตาฟาโดยให้ดื่มกาแฟเจือยาพิษ ขณะเดียวกับที่ผู้บัญชาการทัพเรือถือคำสั่งของสุลต่านให้มาสังหารปาชาแล้วตั้งมุสตาฟาเป็นแทน แต่มุสตาฟาก็สิ้นใจตามปาชาไปเสียก่อน ชาวฝรั่งเศสผู้ใช้ชื่อว่าสาลิม (หรือหุกกะแบก) ซึ่งปาชาตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทัพเรือก็ประกาศตนเป็นปาชาคนต่อมาชื่อว่าอาลี