นิทานกระทู้ 5 เรื่อง
นิทานกระทู้เรื่องที่ 1 ตาบอดสอดตาเห็น
พระภิกษุ 2 รูปคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เคยเห็นด้วยตนเอง เช่น เรื่องกุ้งที่แม่น้ำน้อย กาญจนบุรี ภิกษุรูปหนึ่งได้ยินมาว่าชุมมากจนเห็นแดงสุดลูกหูลูกตาทั้งแม่น้ำ พระอีกรูปหนึ่งท้วงว่ากุ้งเป็น ๆ ไม่น่าจะเป็นสีแดงอย่างกุ้งเผา และอีกหลาย ๆ เรืองที่ทั้งคู่ได้ยินมาจนในที่สุดพระทั้ง 2 รูปก็ผิดใจกัน พระรูปหนึ่งจึงสรุปว่า เรื่องไม่รู้อย่าอวดฉลาดจะเป็นโทษแก่ตนเอง
นิทานกระทู้เรื่องที่ 2 ทำคุณ ไม่บูชาโทษ โปรดสัตว์ ไม่ได้บาป
หริ่มเป็นพ่อค้าที่มีฐานะดีมาก วันหนึ่งกลับมาจากบางกอก เขาเล่าว่าพบลุงแก่ของเขาชื่อลุงทินกำลังยากลำบากจึงขอนำมาเลี้ยงดูที่บ้าน ตุ่นซึ่งเป็นภรรยาไม่เต็มใจแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อลุงแก่คนนั้นมาถึงเขาก็ได้แสดงกิริยาหยาบช้าต่าง ๆ และยังหวงไม้เท้าอันใหญ่ไม่ให้ใครแตะต้อง ไม้เท้านั้นขัดไว้เป็นมันปลาบ กลางวันลุงวางไว้บนตัก กลางคืนวางบนที่นอนข้าง ๆ ตัว ลุงทินป่วยเป็นฝีในท้อง ตุ่นคอยพยาบาลทั้งกลางวันกลางคืนจนลุงเริ่มคุ้นเคยกับตุ่นและลูก ๆ ยอมให้ตุ่นช่วยขัดถูไม้เท้าแทนทุกวัน แต่วันหนึ่งตุ่นลืมขัดไม้เท้า ลุงทินโกรธมาก พยายามขุดดินฝังไม้เท้าเพราะเห็นว่าไม่มีใครสมควรจะได้ไว้ ค่ำวันนั้นลุงทินอาการหนัก ก่อนตายแกตัดสินใจมอบไม้เท้าใส่มือตุ่น ตุ่นซุกไม้เท้าไว้ในตู้ ต่อมาฐานะทางบ้านตกต่ำลง หริ่มกับตุ่นตกลงจะขายบ้านใช้หนี้แล้วไปเช่านาทำกินต่อไป ขณะกำลังเก็บข้าวของเตรียมขาย ลูกชายวัย 6 ขวบหยิบไม้เท้ามาเล่น ไม้เท้าฟาดไปถูกเสาจนไม้เท้าหัก 2 ท่อน พบว่ามีทับทิมเม็ดใหญ่สีแดงสวยถึง 18 เม็ดหลุดลงมาจากไม้เท้า ทำให้หริ่มและตุ่นมีเงินปลดหนี้
นิทานกระทู้เรื่องที่ 3 นะโมพุทธายะ
ผู้แต่งนิทานเรื่องนี้ได้รับโคลงสี่สุภาพมาบทหนึ่งจากมหาปาลพนักงานหอพระสมุดฯ และขอให้ช่วยแปลความเพราะมีผู้ส่งมาให้ลงพิมพ์ ดังนี้
ฬกมษะกยุถผี้ ฮศรา ลิ่ชเฃษ
ฟินวโฅฮฐ์กโวปฝราฝศา ฅดต้าษ
สฎิสฎาตเญิธฬซิวลกา ศขุฑศาฎ เฎวีรแฃ
แกห่จกลัธษ์ฃัทิวฟสะรูวผ้าห กบิบอษ้าฌหโรอษ
ผู้แต่งพยายามคิดหลาย ๆ แบบเพื่อแปลความโคลงนี้ให้ได้ ในที่สุดได้ลองใช้วิธีถอดนะโมพุทธายะ ได้ความดังนี้
ห อ พ ระ ส มุ ด นี้ ส ม ยา ยิ่ ง เอ ย
พิ ท ย โก ษ ฏ์ อ โย ท ธ ยา ป รา ก ฎ ด้า ว
ว ชิ ร ญ า ณ เชิ ด ว ชิ ร ม หา ม กุ ฎ รา ช เฉ ลิ ม แฮ
แห ล่ ง อ มั ต ย์ ขั ติ ย ป ระ ยู ร น้า ว ส นิ ธ ส ร้า ง ส โม ส ร
นิทานกระทู้เรื่องที่ 4 อีล่อยป้อยแอ เรื่องย่อมีดังนี้
ผู้แต่งเล่าว่าจะต้องส่งต้นฉบับนิทานซึ่งแต่งตามกระทู้ว่า อีล่อยป้อยแอ ในวันที่ 6 แต่เมื่อย่างเข้าวันที่ 5 แล้วก็ยังไม่ได้เริ่มเขียนเพราะนึกไม่ออกจึงใช้เวลาไปทำกิจอย่างอื่นพร้อมกับนึกว่า “ร้อนรี้ร้อนรนไปไหนฤๅนี่, พรุ่งนี้ลุกขึ้นจ้ำเสียแต่เช้า, ส่งบ่าย ๆ ก็ทันมิถม.”
วันที่ 6 ผู้แต่งตื่นบ่าย 2 โมง กินข้าว แขกมาหา บ่าย 4 โมง เสมียนหอพระสมุดฯ มาเตือน ต้องผัดไปว่ายามหนึ่งเข้าวังจะนำไปส่ง แต่ก็ยังเขียนอะไรไม่ออกจึงไปนั่งรถเที่ยวเพื่อจะนึกเรื่องไปด้วย กลับมาบ้านเกือบ 2 ทุ่มเพราะพบเพื่อนฝูง ต้องหยุดกินน้ำร้อนน้ำชา ก็เลยคุยเรื่อยไป เมื่อกลับถึงบ้านก็หิวเพราะถูกรถเขย่า จึงกินข้าวก่อน ผู้แต่งนึกอยู่ว่าจะเขียนอะไรดีให้ส่งได้พ้น ๆ ไป จึงพยายามตีความอีล่อยป้อยแอให้ชัดเจนขึ้น ในที่สุดเมื่อจวนตัวเข้าจึงคิดได้ว่า “อ๋ะพุทโท่พุทถัง คิดออกแล้วไม่ใช่อื่นใช่ไกล, ไม่ต้องวุ่นต้องวาย, จดอ้ายเรื่องอิดออด วิตกวิจารณ์ของเรานี่เองส่งไปก็แล้วกัน อีล่อยป้อยแอพอทีเดียว, รีบ ๆ เขียนส่งไป เชิญสมาชิกท่านดู ท่านจะได้เห็นว่าอีล่อยป้อยแอนั้นรสชาติหน้าตามันเปนอย่างนี้”
นิทานกระทู้เรื่องที่ 5 เศรษฐีขี้พาโล เรื่องย่อมีดังนี้
เศรษฐีผู้หนึ่งให้จีนเซียะกู้เงินโดยมีบ้านตึกใหญ่เป็นประกัน แต่จีนเซียะหนีไปเมืองจีน เศรษฐีด่าลูกน้องคนสนิทชื่อนายปลอดว่าไม่ช่วยสืบให้รู้ก่อนว่าที่บ้านนั้นเป็นของหลวง นอกจากนั้นยังกล่าวโทษนายปลอดว่าชอบหมอบอยู่นิ่ง ๆ เป็นหัวหลักหัวตอ วันก่อนมีการทำบุญ นายปลอดไปซื้อของอื่นมาถวายพระให้สิ้นเปลือง แทนที่จะแนะนำให้เอาชามลายครามที่มีอยู่แล้วถวายพระไป เศรษฐีเผลอเอามือไปปัดชามลายครามที่วางอยู่บนโต๊ะหล่นลงมาแตกกระจาย เศรษฐีบ่นถึงเรื่องต่าง ๆ อีกหลายเรื่อง แต่นายปลอดก็ไม่โต้ตอบ ผู้แต่งนิทานสรุปว่า “การที่นายปลอดไม่ตอบนี้ ข้าพเจ้าตรองดูเห็นว่า ถึงปากไม่เอ่ยก็ที่ไหนใจจะเว้น คิดว่ากระไรบ้างได้. เชิญท่านผู้อ่านตรองดูเถิด"